[รีวิว]Beautiful Boy : ทำสงครามกับยาเสพติดด้วยความรัก
Our score
7.6

beautiful boy : แด่ลูกชายสุดที่รัก

จุดเด่น

จุดสังเกต

  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    9.0

  • ความสมบูรณ์ของงานสร้าง

    8.0

  • คุณภาพของการแสดง

    10.0

  • ความสนุกแบบหนังบันเทิง

    5.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    6.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย

อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงจากเรื่องจริง โดยอิงจากหนังสือ 2 เล่ม ที่เดวิด เชฟผู้พ่อ และ นิค เชฟ ผู้ลูกต่างเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองออกมาคนละเล่ม แล้วลุค เดวี่ ผู้เขียนบทร่วมก็ยังเคยเสพติดเฮโรอีนในยุค 80s ทั้งหมดทั้งหลายก็เลยเป็นองค์ประกอบที่ทำให้หนังถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสมจริงและหนักอึ้ง บวกกับผู้กำกับ เฟลิกซ์ แวน โกรนิงเก็น ชาวเบลเยี่ยม ที่มีรางวัลติดตัวมาแล้วถึง 30 รางวัล และโดดมากำกับหนังพูดอังกฤษเรื่องนีเป็นเรื่องแรก ก็ยังทุ่มเทจริงจังกับหนังอย่างมาก เขาร่วมเขียนบท และควบคุมงานตัดต่อด้วยตัวเอง ใช้เวลาตัดต่อหนังไปทั้งสิ้น 7 เดือน เหตุจากผู้กำกับไม่พอใจงานตัดต่อ ผลสุดท้ายก็เลยไปลาก นิโค ลูเน็น มือตัดต่อคู่ใจให้บินมาตัดต่อให้เขาที่ลอส แองเจลิส หนังถึงสำเร็จเสร็จสิ้นได้

และฝีมือการติดต่อของนิโค ลูเน็น ที่ผู้กำกับพึงพอใจนั้น เป็นการตัดต่อแบบสลับไทม์ไลน์ เปิดเรื่องด้วยเหตุการณ์ในช่วงกลางเรื่อง แล้วย้อนไปเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้า มีการตัดสลับไปในอดีตช่วงที่นิคยังเป็นเด็กน้อย แล้วบ่อยครั้งที่ใช่การเชื่อมต่อฉาก J-Cut ให้เสียงในฉากถัดไปเชื่อมเข้ามาในฉากปัจจุบันก่อนตัดภาพไป  บวกกับการที่นิคติดยาแล้วเลิกยาอยู่หลายครั้ง ทำให้สมองผู้ชมต้องทำงานหนักพอสมควร กับการไล่ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง

หนังได้ทีมนักแสดงสายดราม่าล้วน ๆ สตีฟ คาเรลล์ ที่แม้จะสร้างชื่อจากหนังคอมมีดี้ แต่หลัง ๆ มานี่ก็เน้นหนักแต่หนังดราม่าตลอด เร็ว ๆ นี้ก็จะมี Welcome to Marwen ที่เป็นดราม่าเครียด ๆ เช่นกัน สตีฟ คาเรลล์ มารับบทเดวิด เชฟ พ่อผู้พยายามที่จะฉุดลูกชายออกจากวังวนยาเสพติด ให้ทั้งความรัก กำลังใจ และสนับสนุนทุกวิถีทาง ส่วนบทนิค เชฟ นั้นได้ ทิโมธี ชาลาเมต์ ดาราหนุ่มที่สร้างชื่อมาจากหนังเกย์ Call Me by Your Name เมื่อปี 2017 และส่งให้เขาได้เข้าชิงออสการ์นำชาย และในบทนี้ นิค เชฟ ก็ส่งให้เขาได้เข้าชิงลูกโลกทองคำในบทสมทบชาย ซึ่งดูยังไงมันก็บทนำนะ รางวัลในฮอลลีวู้ดมักดูน่าขัดใจแบบนี้เสมอแหละ ทิโมธี ทุ่มเทกับบทอย่างหนัก เขาลดน้ำหนักถึง 11 กิโลกรัม จนร่างผอมบางแก้มตอบ ดูเป็นเด็กติดยาได้อย่างสมจริง หลาย ๆ ฉากที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ก็ทำหน้าเคลิ้มตาลอย ดูแล้วเชื่อจริง ๆ ว่าไอ้นี่กำลังเมายาอยู่ และอีกฉากคือฉากปะทะคารมกับพ่อในร้านอาหาร ที่โชว์ศักยภาพของนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจะมีอนาคตไกลในฮอลลีวู้ด ตัวจริงของทิโมธี อายุ 23 ปีแล้ว แต่ก็เล่นเป็นเด็กหนุ่มวัย 18 ได้ดูไม่ขัดตาครับ

ตลอด 2 ชั่วโมงของหนังเล่าเหตุการณ์ในระยะเวลาประมาณ 4 ปี ช่วงที่นิค เรียนจบไฮสคูล แล้วก็ลังสอบเข้ามหาวิทยาลัย นิค อาศัยอยู่กับพ่อ และแม่เลี้ยง ที่มีน้องชาย น้องสาว ต่างแม่อีก 2 คน หนังไม่ได้กล่าวโทษสถาบันครอบครัวว่าเป็นสาเหตุที่นิคติดยา กลับกันหนังกลับถ่ายทอดความอบอุ่นในครอบครัวออกมาอย่างเด่นชัด แม่เลี้ยงให้ความรักใคร่นิคเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับน้องทั้ง 2 ก็ดูสนิทสนมกับพี่ต่างแม่คนนี้ แต่นิคตกเป็นทาสยาเสพติดเพราะความคะนองตามประสาวัยรุ่นที่ลองด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็หยุดไม่ได้เริ่มจากไอซ์แล้วก็ข้ามไปลองยาทุกชนิด จนถึงขั้นว่าขอเป็นยาอะไรก็ได้

หนังถ่ายทอดให้เราเห็นความพยายามอย่างมากของพ่อที่จะดึงลูกให้หลุดออกมาจากวังวนยาเสพติด ถึงขั้นศึกษาและลองรสชาติของยาด้วยตัวเองเพื่อจะเข้าถึงความรู้สึกของคนติดยา ด้านนิคที่มีสติเป็นพัก ๆ พอลงแดงก็ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด พอหายก็มีสำนึกผิดชอบกลับมา อยากจะหาย กลับมาเรียนได้จนจบมหาวิทยาลัยแล้วก็วนกลับไปติดอีกเป็นวงจรไม่รู้จบ หนังมีฉากฉีดยาให้เห็นกันแบบชัด ๆ ถ้าเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน ก็คงโดนตัดทิ้งไปแล้ว แบบที่ “เสียดาย” หนังของท่านมุ้ยที่พูดถึงเด็กติดยาแต่ก็ไม่ผ่านเซนเซอร์ ขณะเดียวกันหนังก็ถ่ายทอดด้านร้ายของยาเสพติดให้เห็นมากมาย ทั้งเสียการเรียน  ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ด่าพ่อด้วยคำหยาบคาย ทุบบ้านตัวเองขโมยของ และผลร้ายสุดคือสุขภาพตัวเอง สมองโดนฤทธิ์ของยาทำลายไปเรื่อย ๆ และอันตรายถึงขั้นชีวิตอย่างที่ตัวละครหนึ่งในเรื่องเกือบจะตายเพราะเสพยา

Beautiful Boy เป็นหนังที่เจาะเฉพาะกลุ่มจริง ๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบดราม่าหนัก ๆ ไปดูฝีมือการแสดงแบบจริงจังของสตีฟ คาเรลล์ และการแสดงแบบเข้าตากรรมการของทิโมธี ชาลาเมต์ เป็นหนังที่พาเราจมดิ่งไปกับสภาวะตึงเครียดของครอบครัวเชฟ ที่นิค กลายเป็นจุดศูนย์กลางของปัญหาทำให้ทุกคนต้องช่วยกันคว้ามือแล้วดึงขึ้นมา หนังถ่ายทอดภาพด้วยการถ่ายภาพแบบเสมือนแสงธรรมชาติ โทนของภาพมืดครึ้มแทบทั้งเรื่อง ยิ่งพาอารมณ์ผู้ชมให้หม่นตามโทนหนัง

เพลงประกอบที่คัดมาก็ช่างเข้ากับบรรยากาศหนังมาก ๆ ทั้งเพลง “Beautiful Boy” เพลงที่จอห์น เล็นนอน แต่งให้ลูกชาย จูเลียน เล็นนอน กลายเป็นเพลงอมตะ และถูกใช้ประกอบหนังมาหลายเรื่องแล้ว และเป็นที่มาของชื่อเรื่องนี้ด้วย เพราะเดวิด เชฟ ตัวจริง ที่มีอาชีพเป็นนักเขียนก็ได้สัมภาษณ์จอห์น และ โยโกะ โอโนะ ได้ 3 สัปดาห์ก่อนที่จอห์นจะถูกยิงตาย และหลาย ๆ เพลงที่นำมาประกอบฉากเมายาของนิค ก็เป็นดนตรีที่พาอารมณ์เพ้อฝันล่องลอย เข้ากับภาพของหนังมาก แนะนำว่าพ่อแม่ที่ลูกเข้าช่วงวัยรุ่นพาลูก ๆ ไปดูก็ดีนะครับ ครอบครัวไม่ต้องมีปัญหา แต่แค่ลองด้วยความสนุกก็พาชีวิตลงดิ่งได้เช่นกัน

Play video