[รีวิว] Captive State สงครามปฏิวัติทวงโลก – หนังเอเลี่ยน’คืนความสุข’ที่สนุกคิดมากกว่าวินาศสันตะโร
Our score
7.9

CAPTIVE STATE

จุดเด่น

  1. เป็นหนังไซไฟการเมืองที่สร้างสรรค์มาก
  2. ให้ภาพการปกครองแบบเผด็จการเปรียบเปรยกับเอเลี่ยนยึดโลกได้เห็นภาพ
  3. การแสดงของจอห์น กู๊ดแมนสร้างความสั่นสะเทือนได้เป็นอย่างดี
  4. งานวิช่วลค่อนข้างดีสำหรับหนังไซไฟทุนกลางๆ ขายไอเดีย

จุดสังเกต

  1. หนังเล่าเรื่องต่างจากหนังบล็อคบัสเตอร์ และอาจไม่ได้ถูกใจทุกคน
  2. หนังมีช่องโหว่เรื่องบทอยู่เยอะ
  3. ตัวละครนำไม่ได้ดึงดูดให้เราเอาใจช่วย หรือ ผูกพันนัก
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    7.5

  • คุณภาพงานสร้าง

    8.0

  • ความแปลกใหม่

    9.0

  • ึความสนุก

    7.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    8.0

หลังเอเลี่ยนในนามคณะปกครองโลกได้เถลิงอำนาจและถลุงทรัพยากรจนเกือบเกลี้ยง ได้ก่อให้เกิดกลุ่มปฏิวัตินาม ฟีนิกซ์ นำโดย ราฟ (โจนาธาน เมเยอร์ส) แต่หลังเหตุจลาจลที่วิคเกอร์พาร์ค ชื่อของราฟก็กลายเป็นเพียงตำนาน มีเพียง วิลเลียม มัลลิแกน (จอห์น กู๊ดแมน) ตำรวจสันติบาลชิคาโกเท่านั้นที่ตามแกะรอยหวังโค่นกลุ่มฟีนิกซ์ที่กำลังวางแผนวินาศกรรมครั้งใหญ่ โดยกุญแจสำคัญอยู่ที่ เก๊บ (แอชตัน แซนเดอร์ส) น้องชายของราฟที่หวังจะหนีออกจากเมืองอันสิ้นหวังโดยไม่รู้เลยว่า เขาอาจเป็นกลไกสำคัญในการทวงเสรีภาพจากเผด็จการต่างดาว

สนับสนุนโดย Major Cineplex

Captive State มาในแนวทางหนังไซไฟการเมือง จากมันสมองของ รูเพิร์ต ไวแอต ผู้กำกับที่เคยปลุกตำนานพิภพวานรอีกครั้งจาก Rise of the planet of the apes เมื่อปี 2011 ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานถึงความสนใจในเรื่องการเมืองได้เป็นอย่างดี แต่เอาเข้าจริงแล้วการคิดเหตุการณ์แบ็คกราวด์ของเรื่องเป็น เอเลี่ยนยึดและปกครองโลกก็ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่เสียทีเดียว มันเคยถูกบอกเล่าจนเฝือทั้งในหนังดังอย่าง District 9 (2009) หรือ ซีรีส์ดังทั้ง V (2009-2011) หรือ Colony (2016-2018) กระนั้นการที่ Captive State เลือกเล่าเรื่องราวโดยมีศูนย์กลางเป็นครอบครัวนักปฏิวัติ ที่มีแนวคิดขัดแย้งกัน คนนึงคิดสู้จนตัวตาย อีกคนกลับอยากหนีไปให้ไกล ก็ช่วยเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้หนังได้อย่างประหลาด แต่การที่หนังไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นไซไฟบึ้มบั้มและไปเน้นบรรยากาศวิพากษ์การเมืองแบบเผด็จการเข้มๆเครียดๆก็อาจเข้าข่ายหนังที่ไม่รักก็เกลียดเลยไปโดยปริยาย

กระนั้นต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าบทหนังเองมีช่องโหว่ในหลายด้านทีเดียว ทั้งปมประเด็นการเมืองที่หนังเองก็ปูไม่แน่นทั้งอุดมการณ์ที่ตัวละครยึดถือ เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่หนังเลือกข้ามไปจนคนดูไม่ได้อินกับเบื้องหลังการปฏิวัติของราฟ หรือปมพี่น้องระหว่างเขากับเก๊บเท่าที่ควร แม้แต่ตัวละครตำรวจอย่าง วิลเลียม มัลลิแกน ที่ทั้งเรื่องเราแทบไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมุ่งมั่นกับการตามทะลายแก๊งฟีนิกซ์โดยที่ไม่ได้ปูสายสัมพันธ์หรือความศรัทธาของวิลเลียมที่มีต่อคณะปกครองจากต่างดาวชัดเจนนัก (ก่อนที่จุดหักมุมจะมาอธิบายในส่วนนี้แต่ก็ยังไม่สมเหตุสมผลเพียงพอนัก) ซึ่งหากมองในเชิงตรรกะของเรื่องก็สังเกตความพังได้ไม่ยาก แต่อะไรล่ะที่จะทำให้คนดูอินได้

ประการแรกเลยคงหนีไม่พ้นการเล่าเรื่องเปรียบเปรย (Allegory) เรื่องแต่งมาวิพากษ์สังคมการเมืองของหนังเนี่ยแหละที่น่าจะโดนใจคนไทยมิใช่น้อย หลายช่วงตอนของหนังดูไปสะอึกไปแบบไม่ต้ั้งใจทั้งบทบรรยายที่ผู้นำฝ่ายมนุษย์พูดถึงคณะปกครองว่าทำให้สังคมที่เคยแตกแยกกลับมารวมตัวกันได้ หรือนัยหนึ่งก็คือการบังคับให้คนยอมรับในอำนาจเบ็ดเสร็จนั่นเอง หรือแม้แต่โปรโมช้ั่น “คืนความสุข” ต่างๆนานาทั้งเศรษฐกิจ ตัวเลขคนว่างงานที่ลดลง ก็ทำให้เราได้ระลึกถึงความดีงามที่เรามักได้ยินกันทุกวันศุกร์มิใช่น้อยเลยแหละ และยิ่งหนังมาฉายก่อนวันเลือกตั้งแบบหายใจรดต้นคอนี่ก็ยิ่งท้าทายสมองให้เราได้คิดตีความไปจนถึงหวาดหวั่นกับผลลัพธ์ที่ภาวนาขออย่าให้เหล่าเอเลี่ยนกลับมา ‘คืนความสุข’ กันอีกเลย

 

ประการต่อมาการได้เห็นทางเลือกอันแตกต่างระหว่าง ราฟ และ เก๊บ นี่แหละที่สะท้อนทางเลือกของประชาชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการได้อย่างชัดเจน แม้เราอยากจะสุดขั้วแบบราฟถึงขั้นวางแผนวินาศกรรมเพื่อปลดแอกประชาชนสู่เสรีภาพ แต่ความจริงแล้วเรากลับเลือกที่จะปฏิบัติตนแบบ เก๊บ ก้มหน้าทำงานและพอเหตุการณ์จะรุนแรงคงไม่มีทางเลือกใดดีกว่าการหนี ให้ตัวเองปลอดภัยอีกแล้ว ซึ่งการที่หนังทำให้เห็นมุมมองสองด้านของประชาชนที่มีต่อการกดขี่ของอำนาจเผด็จการก็ทำให้เราย้อนกลับไปสัมผัสกับความจริงอันแสนขมขื่นตลอด 5 ปีได้ชัดเจนขึ้น จนอยากรณรงค์ให้คนไปดูหนังเรื่องนี้ในวันแรกๆที่มันเข้าฉายก่อนไปเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมนี้เป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

แม้จะน่าเสียดายที่เหล่านักแสดงนำทั้ง โจนาธาน เมเยอร์ส และ แอชตัน แซนเดอร์ส ไม่อาจนำพาให้คนดูรัก เห็นใจและเอาใจช่วยพี่น้องนักปฏิวัติได้มากนัก แต่กระนั้นการที่หนังนำ ป๋า จอห์น กู๊ดแมน มารับบท วิลเลียม มัลลิแกน ตำรวจสันติบาลผู้น่าเกรงขามที่พยายามทำลายกลุ่มปฏิวัติฟีนิกซ์ก็ช่วยให้หนังมีไดนามิกที่น่าสนใจ และทุกครั้งที่ตัวละครของกู๊ดแมนปรากฎตัวก็ทำให้เราไม่อาจนั่งติดเก้าอี้ได้จริง อีกคนที่ปรากฎตัวน้อยแต่สร้างแรงสั่นสะเทือนได้ดีทีเดียวคือ เวรา ฟามิกา ที่มาในบทโสเภณีไร้ชื่อก็เปล่งประกายจนเราไม่อาจละสายตาได้จริงๆ

หักลบกลบหนี้ทั้งข้อดีข้อเสียแล้วก็คงต้องขอโหวดเชียร์ให้คนไทยทุกคนไปดูหนังเรื่องนี้อยู่ดี เพราะแม้หนังจะห่างไกลความสนุกแบบหนังบล็อคบัสเตอร์ที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องน่าเบื่อสักนิด งานวิช่วลยังคงทำงานกับคนดูได้ดีแถมให้ภาพสมจริงและสร้างบรรยากาศขมุกขมัวเปรียบเปรยถึงฝันร้ายในยุคสมัยของเผด็จการได้เป็นอย่างดี ก็น่าจะช่วยให้เราตัดสินใจกันง่ายขึ้นว่าควรใช้สิทธิของตนกำหนดทิศทางการปกครองของประเทศอย่างไรในวันที่ 24 มีนาคมนี้ครับ