Merry Christmas Mr. Lawrence เป็นหนังชั้นครูจากผู้กำกับระดับโลกของญี่ปุ่นนาม นางิสะ โอชิมะ หนังเรื่องนี้อยู่ในลิสต์ “ต้องดู” ของหลายคนหลายสำนัก และนี่คือโอกาสดีที่ตัวหนังได้กลับมาฉายโรงใหญ่ด้วยภาพเสียงระดับสมบูรณ์อีกครั้ง เป็นโปรเจ็กต์หนังทรงคุณค่าที่ทาง Doc Club Classics ได้นำมาให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสอีกครั้ง ต่อจาก The Last Emperor ที่เราเคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ (กดอ่านรีวิวได้ที่ชื่อหนังเลยครับ)

  • หนังปี 1983 เรื่องนี้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ด้วย ซึ่งต้องโดดเด่นในทางการนำเสนออย่างมีศิลปะและมีสาระแก่นการเล่าที่คมคายท้าทายสังคมโลก เรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้น
  • นับเป็นหนังเรื่องที่ 2 ของ ผกก. โอชิมะ ที่ได้เข้าชิงรางวัลสูงสุดของเมืองคานส์ ถัดจากเรื่อง Empire of Passion เมื่อปี 1978
  • หนังเรื่องนี้รวมเอาตัวกลั่นชั้นครูของหลายวงการในปัจจุบันสมัยละอ่อนมาร่วมแสดง ไม่ว่าจะ เดวิด โบวี่, ซากะโมโตะ ริวอิจิ และ คิตาโน่ ทาเคชิ  เรียกว่าร่วมปั้นทรงว่าที่ระดับโลกไว้หลายท่านทีเดียว
  • นี่คือผลงานการแต่งเพลงประกอบหนังครั้งแรกของ ซากะโมโต้ ริวอิจิ ก่อนจะไปไกลจนได้ออสการ์ในหนังเรื่อง The Last Emperor ในไม่กี่ปีให้หลัง ทว่าเพลง Forbidden Colours กลับยังคงเป็นเพลงซิกเนเจอร์ของเขาจวบจนถึงปัจจุบันนี้
  • ทอม คอนติ และ แจ็ก ธอมป์สัน คืออีกสองนักแสดงที่ประสบความสำเร็จในยุคนั้น และร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะธอมป์สันนั้นเพิ่งคว้ารางวัลสมทบชายยอดเยี่ยมจากเมืองคานส์มาได้

Play video

ในเริ่มแรกนั้นเราอาจเข้าใจว่านี่คือหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พูดประเด็นอันดาษดื่นไม่ว่าวีรกรรมความกล้าหาญ พลังของความเป็นมนุษย์ หรือการวิพากษ์สงครามในแง่ความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าเมื่อเราได้ดูอย่างจริงจัง หนังเรื่องนี้ได้เล่าสิ่งอันแตกยอดไปไกลกว่านั้นมาก จนรู้สึกได้ถึงพลังอันมาก่อนกาลของหนังทีเดียว เนื้อหานั้นได้ดัดแปลงจากนิยายชื่อ The Seed and The Sower (เมล็ดพันธุ์และผู้หว่าน) ของ ลอเรนส์ แวน เดอร์ โพสต์  โดยทันทีที่สิ้นฉากเปิดตัวของหนัง เมื่อ ลอว์เรนส์ (คอนติ) เชลยทหารอังกฤษผู้เป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นได้ถูกผู้กอง ฮาระ (คิตาโน่) เรียกตัวมาเป็นพยานในการไต่สวนโทษนอกศาลคดีที่ นายทหารญี่ปุ่น ล่วงละเมิดทางเพศกับเชลยชาวอังกฤษ ซึ่งดูเหมือนความอับอายนี้จะชักนำให้ทหารญี่ปุ่นนายนั้นพยายามกระทำฮาราคีรีตนเอง ซึ่งการรับผิดด้วยความตายนั้นเป็นหนึ่งในหัวใจที่ทหารในวัฒนธรรมตะวันตกไม่เข้าใจและพยายามหยุดยั้ง เพียงซีนเดียวนี้เราก็ทราบแล้วว่า หนังเรื่องนี้ มีประเด็นที่คาบเส้นข้อถกเถียงของผู้ชมได้อย่างสนุกสมองแล้วล่ะ

หนังเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาเมื่อผู้บังคับบัญชาค่ายกักกันบนเกาะชวาแห่งนี้อย่าง โยโนอิ (ซากะโมโตะ) ได้ช่วยเหลือเชลยรูปงามที่ต้องโทษประหารอย่าง เซลเลียส (โบวี่) มาพักรักษาในค่ายของตน ท่ามกลางท่าที่ที่เห็นใจและอ่อนโยนของโยโนอิ ซึ่งขัดแย้งกับบทบาทผู้คุมอันต้องขึงขังในวินัยและเป็นตัวอย่างอันถูกต้องแก่ลูกน้องทหารหาญทั้งหลาย ปมขัดแย้งทางวัฒนธรรม รวมถึงความรู้สึกลึกลับที่ยากเปิดเผยในห้วงเวลาอันมืดหม่นนั้น ก็กลายเป็นชนวนไปสู่ความแตกร้าวของทหารญี่ปุ่นกับเชลยตะวันตกทั้งหมดอย่างช้า ๆ จนมาถึงบทสรุปสุดท้ายที่ตราตรึง

หนังเล่าประเด็นต่าง ๆ อย่างละเมียด เหมือนจะบอกตรง ๆ แต่ก็เก็บเม้มไว้ด้วยถ้อยทีมากมารยา หลายครั้งหนังจึงเหมือนตัดบทลงกระทันหัน หลายอย่างไม่มีการถูกนำมาแสดงให้กระจ่าง ได้แต่เป็นหน้าที่ผู้ชมตีความ ซึ่งอย่างไรเสียมันก็สะท้อนความขัดแย้งในห้วงเวลาสงครามผ่านกระบวนการผลิตและเล่าเรื่องไปพร้อมกัน ความต่างวัฒนธรรมเป็นจุดกระชากความรู้สึกของผู้คน ลอว์เรนส์คือผู้ยืนตรงกลางสองวัฒนธรรมเขาพยายามเข้าใจและเรียนรู้โลกที่แตกต่าง ในขณะที่ทหารญี่ปุ่นในฐานะผู้ปกครองก็พยายามนำวัฒนธรรมที่ดีในมุมมองของพวกเขาถ่ายทอดแก่ชาวตะวันตก ซึ่งในจุดเดียวกันค่านิยมแบบตะวันตกไม่มีทางเข้าใจหรือยอมรับได้ จนนำมาซึ่งการแลกด้วยชีวิตอันไม่ควรเกิดขึ้น และเป็นผลลัพธ์ที่มาจากความโง่เขลาและไม่รู้จักหัวใจตนเองของมนุษยชาติตลอดมาและตลอดไป

เมื่อมองเช่นนี้แล้ว จะอธิบายหนังเรื่องนี้อย่างง่ายที่สุด ก็คือ โรมิโอกับจูเลียต กลางค่ายสงครามโลก นั่นแล  ฝั่งหนึ่งคือ ฮิกส์ลี่ย์ (ธอมป์สัน) หัวหน้าเชลยอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าตระกูลตะวันตก  ก่อความบาดหมางกับฝั่งตระกูลตะวันออกที่มีระบบจารีตซับซ้อน โดยเหยื่อของความขัดแย้งนั้นก็คือ คู่ทหารอังกฤษกับทหารญี่ปุ่นผู้ล่วงละเมิดในตอนต้นของหนัง และคู่ของโยโนอิกับเซลเลียสที่ดูจะซับซ้อนยิ่งกว่า ทั้งนี้ลอว์เรนส์ก็คือบาทหลวงผู้เฝ้าดูความโง่เขลาของทั้งสองตระกูล แม้พยายามตักเตือนอยู่เสมอแต่เขาก็เป็นเชลยไม่ใช่ผู้คุมที่จะบังคับสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ หากหัวใจของมนุษย์ทั้ง 2 ฝั่งไม่เปลี่ยนด้วยตนเอง

ฉากจบที่ลอว์เรนส์ได้กลับมาพบกับฮาระอีกครั้งหลังสงครามได้จบลง จึงเป็นการคลี่คลายความอึกอั่กและไม่เข้าใจหลายประเด็นลงอย่างมีชั้นเชิง และเมื่อมองหนังเรื่องนี้ในบริบทปัจจุบันอีกครั้งก็ได้แต่รำพึงคลอเพลง Forbidden Colours ว่า จงเรียนรู้ที่จะไม่โง่เขลาเช่นพวกเขาเหล่านี้อีกเลย

Play video

หนังเข้าฉายวันที่ 21 มีนาคม – 3 เมษายน 2562 ที่ SF Central World และ SF เมญ่าเชียงใหม่ (วันธรรมดา 19:00 / เสาร์อาทิตย์ 14:00)
และโรง SF Central ขอนแก่น และ โคราช (เฉพาะเสาร์อาทิตย์ 23-24 มีนาคม รอบ 16:30)
และนับตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน เริ่มฉายที่ House RCA และ Bangkok Screening Room

สามารถจองตั๋วผ่านแอป SF หรือผ่านเว็บกดที่ลิ้งก์นี้ได้เลยครับ https://www.sfcinemacity.com/showtime/movie/HO00000475