[รีวิว] สงกรานต์แสบสะท้านโลกันตร์ – นวัตกรรมโฮะมุกตลก อย่าแคร์สาระ ตรรกะเหรอลืมไปได้เลย
Our score
1.0

สงกรานต์แสบสะท้านโลกันตร์

จุดเด่น

  1. หนังเซอร์ไพร์สตลอดเวลา เพราะอยู่ดีๆคิดจะตัดไปอีกเหตุการณ์ก็ตัดไปดื้อๆ
  2. ฉากบวชนาคคือดีมาก ทำให้รู้ว่าเราต้องบวชเพื่อทดแทนคุณของช่องคลอดไม่ใช่พ่อแม่
  3. ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เห็นเน็ตไอดอลคนไหน เพราะพี่พชร์สามารถยัดทุกคนอยู่ในหนังได้ แม้จะออกมาเพียงกระพริบตาก็ตาม
  4. ตรรกะและความต่อเนื่องของหนังอยู่ที่ใจคนดูจริมๆ
  5. คำหยาบ พฤติกรรมลามก ถือเป็นเครื่องหมายความจริงใจของยุคนี้ ถ้ารับไม่ได้ก็ออกจาก พชร์ยูนิเวอร์ส ไปซะ

จุดสังเกต

  1. จะบ้าเหรอหนังเขาออกจะดี ไม่มีอะไรให้ติหรอก
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    0.0

  • ความสมบูรณ์ของงานสร้าง

    1.0

  • ความตลก

    2.0

  • ความแปลกใหม่

    0.0

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    2.0

หลัง สมจริง จงจ้องหอย (สมจิตร จงจอหอ) นักมวยค่ายตัวเองต้องปราชัย เสือ ส. วาเลนไทน์ (น้าค่อม ชวนชื่น) เจ้าของค่ายมวยก็ดูจะหมดหวังกับการปั้นใครขึ้นมาแทน ยิ่งความแค้นทำให้พลั้งปากท้าส่งนักมวยไปต่อยกับค่ายของศัตรู (ตั๊ก บริบูรณ์) จนต้องปั้นนักมวยรายใหม่ขึ้นมา แต่จะเอาไอ้แหว่ง (บอล เชิญยิ้ม) เหยิน (นุ้ย เชิญยิ้ม) ก็ดูสิ้นหวัง หรือจะเป็นสองลูกชายสุดหล่ออย่าง ปีใหม่ (ยอร์ช ยงศิลป์) หรือ ลอยกระทง (นิก คุณาธิป) ก็ดูจะไม่เอาในทางมวยเสียเลย คงเหลือแต่ สงกรานต์ (โรเบิร์ต สายควัน) ลูกชายที่เคยถูกจับในวันบวช เป็นความหวังสุดท้าย แต่จะได้ชัยชนะหรือไม่คงต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อย 

Play video

 

คำเตือน บทความรีวิวชิ้นนี้ผู้เขียนเขียนตามความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่ได้ประชดหรือเสียดสีแต่อย่างใด ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ที่อยากถ่ายทอดความรู้ทางภาพยนตร์ดีๆจากยอดผู้กำกับ พชร์ อานนท์ เท่านั้น  

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

ความคิดแรกหลังจากดู สงกรานต์สะท้านโลกันตร์ จบคงเป็นความโกรธที่ตัวเองดันหลวมตัวไปนับถือตำราฝรั่งในการทำหนังเสียตั้งนาน และโกรธตัวเองที่ไปเข้าข้างตำราฝรั่งที่กลายมาเป็นกรอบตีความคิดของเราในการทำหนัง อันจะได้สรุปให้อ่านกันเป็นข้อๆดังนี้

ความต่อเนื่องไม่ได้อยู่ที่กฎ 180 แต่อยู่ที่ใจ

เชื่อลึกๆว่าหาก เอ็มมานูเอล ลูบิซกี้ หรือ ลุงโรเจอร์ ดีกินส์ ได้ดูสงกรานต์สะท้านโลกันตร์ ก็ต่างต้องทบทวนการทำงานตัวเองเสียใหม่ เพราะกฎพื้นฐานในการคุมความต่อเนื่องของภาพไม่ได้อยู่พจนานุกรมของ พี่พชร์ ที่ถือว่า ความต่อเนื่องเป็นธุระของผู้ชม เราเลยได้เห็นตำแหน่งตัวละครที่ถือเป็นอนิจจัง เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา ทิศทางการตัดต่อภาพแต่ละกล้อง พี่พชร์ให้อิสระกับระบบตัดต่อระบบ AI เต็มที่ ซึ่งถือเป็นมุมมองใหม่ที่มนุษย์อาจคิดไม่ได้ ซึ่งบรรดานักเรียนหนังควรศึกษาไว้เป็นตัวอย่างและถ้าจะให้ดีควรไปขับไล่อาจารย์ที่สอนวิชาตัดต่อตามโรงเรียนหนังหรือมหาวิทยาลัยที่ตามเทรนด์นี้ไม่ทันออกจากระบบการศึกษาให้หมด!

ความจริงภายในมันเก่า เอาความสดตรงหน้าดีกว่า

สตานิสลาฟสกี้ เคยกล่าวว่านักแสดงควรรู้จักความจริงภายในเพื่อความสมจริง ซึ่งถือเป็นความเชื่อผิดๆที่นักเรียนการแสดงทั่วโลกร่ำเรียนมา เพราะหากผ่านการกำกับของพี่พชร์ ผู้ปฏิเสธการสร้างความจริงภายใน หรือการทำสมาธิทุกรูปแบบเพราะกลัวทำหนังไม่ทันDag ดังนั้นจึงเกิดการกำกับแบบเอาความจริงตรงหน้า เช่น คิดบทไม่ออกช่วยพูดๆอะไรออกไปให้หน่อย หรือคิวถ่ายจะหมดจะทำอะไรก็ทำ เหล่านี้ถือเป็นงานกำกับชั้นสูงที่เหล่านักเรียนหนังอาจเข้าไม่ถึง หรือ อาจารย์อาจยังไม่เคยสอนเพราะถือเป็นทฤษฎีใหม่ โดยเป็นหน้าที่ของผู้กำกับในการหยิบเลือกเหตุการณ์ที่พอเป็นหนังมาร้อยเรียง แล้วโบ้ยงานในการจัดวางให้คนตัดต่ออีกทีเพื่อให้เงินค่าจ้างคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์

การตัดต่อไม่เพียงเรียงร้อยเรื่องเท่านั้น แต่ยังมีอำนาจข้ามเวลา พื้นที่ ข้ามตรรกะ เหตุและผลใดๆที่เราเคยยึดถือ

ในขณะที่นักเรียนหนังหลายคนมักยึดติดกับทฤษฎีตัดต่อทั้งการสร้างความต่อเนื่องหรือการใช้ภาพมองทาจมาสื่อความหมาย แต่สำหรับพี่พชร์ การตัดต่อคือการเรียงซีนที่ต้องเก็บทุกอย่างให้หมด และพาคนดูข้ามเวลาให้เร็วที่สุด โดยทิ้งตรรกะอันน่าเบื่อไว้เบื้องหลัง แต่การเรียงอย่างมีศิลปะนั้นไม่ควรทำทื่อๆ โดยฉากที่ถือเป็นไฮไลต์ที่แสดงถึงอัจฉริยะภาพของพี่พชร์ คือฉากงานบวชที่พี่เขาเอาเหตุการณ์3เหตุการณ์มาตัดสลับความเวลาโดยอาศัยการตัดแบบ Sound Bridge หรือการใช้เสียงเชื่อมฉาก ซี่งในพิธีแหล่ แน่นอนว่าต้องมีการแหล่สอนนาค แต่หากเราต้องฟังบทแหล่สอนนาค อาจทำให้หนังยาวเกินไป พี่พชร์เลยเลือกท่อนสำคัญที่สุดนั่นคือการใช้คำว่า Hee ในการเชื่อมเหตุการณ์จากปลงผม ไปแหล่นาค แล้วข้างๆพิธีบวชมี ลิเกที่หนูรัตน์เป็นนางเอก ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการต่อยอดจากทฤษฎี มองทาจ เพื่อสื่อความหมายว่าการบวชที่งดงามหาใช่การระลึกถึงพระคุณแม่ แต่เป็นการทดแทนคุณของช่องคลอดและการได้เกิดมาเจอหนูรัตน์เป็นนางเอกลิเกนี่เอง

การเล่าเรื่อง 3 องก์ ไม่สำคัญเพราะพี่พชร์ได้นิยาม องก์ใหม่ขึ้นมาแล้ว

ซิด ฟิลด์ เคยนำทฤษฎี 3 องก์มาเป็นบทบัญญัติในการเล่าเรื่องภาพยนตร์ก่อนจะถูกแหกกฎจนมีสี่ ห้า หรือหกองก์ ในเวลาต่อมา แต่สำหรับปี 2019 พี่พชร์ได้คิดองก์ที่สำคัญที่สุดนั่นคือ องคชาติ ด้วยปฏิเสธทฤษฎีโครงสร้างบททั้งมวล ยอดผู้กำกับของเราจึงต้องคิดหลักยึดขึ้นมาใหม่นั่นคือ องคชาติ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล่าสุด เพราะไม่ว่าหนังจะเล่าอะไรก็ตามก็มักวนมาเรื่ององคชาติ ทั้งมุกจับกระปุกเกียร์ของน้านุ้ย เชิญยิ้ม หรือ การโยกอวัยวะเพศของพี่สมจิตร จงจอหอ ล้วนแล้วแต่เป็นการคารวะเพศชายในสังคมปิตาธิปไตยอย่างมีนัยยะสำคัญหลังหนังมาร์เวลช่วงหลังดัดจริตไปพูดเรื่องสิทธิสตรีซะเยอะจนหน้าหมั่นใส้ สำหรับพี่พชร์ อานนท์ แล้วถือว่าคนชายขอบอย่างกะเทยควรมีสิทธิต่อรองเรื่องทางเพศบ้างทั้ง การขู่จะจับทำผัว หรือ ท้าให้รุมข่มขืน เป็นต้น หรือกระทั่งการพูดถึงพระคุณของพ่ออย่างลึกซึ้งจากปากคำของตัวละคร เสือ ส. วาเลนไทน์ ของน้าค่อมก็ถือเป็นการนำอวัยวะเพศชายมาพูดถึงอย่างเคารพและให้ความสำคัญจนน่ายกย่องครับ

จะมีแค่พลอต ซับพลอต หรือมัลติพลอตไปทำไม ในเมื่อเราเอาแอนตีพลอตมาทำเป็นพลอดได้

ในทางเขียนบท นักเรียนมักถูกกำหนดกรอบในการคิดเรื่องด้วยการวาง พลอต ไว้ก่อนซึ่งถือเป็นเป็นการตีกรอบความคิดที่ควรอิสระ ดังนั้นการได้ดูสงกรานต์แสบสะท้านโลกันตร์ น่าจะเป็นการเปิดโลกการศึกษาได้เป็นอย่างดีครับ เพราะหนังเรื่องนี้มีเหตุการณ์หลายอย่างที่อัดแน่นกันตลอดเวลาร่วมชั่วโมงกว่าๆ ทั้งค่ายมวยที่มีทั้งพ่อคอยด่าลูกๆ มีพระมาฉันเพลแต่ฉันไม่ทันเที่ยงจนหิวเพื่อให้คนหัวเราะ มีห้องน้ำที่สงกรานต์มักเข้าไปอัดควันแล้วเยิ้มออกมา ซึ่งทุกเหตุการณ์ควรเล่นย้ำๆอย่างน้อย 2 เที่ยวเพื่อไม่ให้ผู้ชมหลงลืม มีร้านอาหารที่ลอยกระทงเข้าไปจีบ เจ๊เมษา (พิงค์กี้ สาวิกา) อยู่ 1 ครั้งซึ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลใดๆ และมีฉากห้องซ้อมดนตรีที่เราจะได้เห็น ลอยกระทง และเพื่อนๆมีปัญหากับมอเตอร์ไซวินจนได้เมีย ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องบอกเหตุผลเช่นกัน หรือแม้กระทั่งอาชีพพยาบาลของ เจ๊สิตางศ์ แต่งมา 1 ฉากเพื่อให้ถูกล้อว่าไปกินศพ เหล่านี้ถือเป็นการปลดล็อกกฎเกณฑ์การเขียนบทที่ว่าพลอตคือการวางเหตุการณ์อันเป็นเหตุเป็นผลกันลงโดยสิ้นเชิง ซึ่งถือเป็นคิดพลอตที่ก้าวล้ำมากๆ

 

แม้จะสั้นก็ต้องออกให้ครบ

คิดดูว่าการทำหนังต้องจ้างนักแสดงต้องเสียเงินทองมากมาย ในเมื่อคิดจ้างพวกคนดังออนไลน์ หรือไปทาบทามดาราไว้แล้วก็ควรยัดๆมาให้ครบทุกคน ส่วนความต่อเนื่องช่างมัน ฉะนั้นเราจึงได้เห็นพี่ผัดไท มาเล่นเป็น ปลัด เมียของ เสือ ส. วาเลนไทน์ แบบผลุบๆโผล่ๆ มาสร้างเสียงฮา มาพูดคำหยาบ แต่อีกสักพัก เธอก็หายไปทั้งเรื่องจนคนดูเกือบเป็นอัลไซเมอร์ ตามตัวละครของเธอ หรือกระทั่งเบี้ยใบ้รายทางพวกเน็ตไอดอลต่างๆ พี่พชร์ยัดตรงไหนได้ก็ยัดเข้ามา ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการบริหารจัดการงบประมาณอย่างคุ้มค่า ไม่มีลังเล ยอมเสียฉากของดารารับเชิญเพื่อรักษาหนังแต่อย่างใด เพราะลำพังหนังเองก็เกินเยียวยา เอ้ย! หนังดีจน ติ ไม่ได้อยู่แล้ว

แท้จริงแล้วนี่คือ การทำหนังแบบพชร์ โมเดิร์น

หรืออันที่จริง หากลองสังเกตดีๆ เราจะพบว่าพี่พชร์ ได้ใช้หนังตัวเองเพื่อประเมินคุณค่างานในอดีตตัวเองใหม่ ทั้งวงดนตรีจาก สมอลรูกูแนว มุกพระจากหนังชุดหลวงพี่แจ๊ส  เหล่าคนดังอินเตอร์เน็ตที่เคยเชิญมาเล่น หรือกระทั่งการนำเซ็กส์ แอพพีล ผู้หญิงอย่างการโชว์นม จาก ไฉไล มานำเสนอใหม่ ซึ่งในมุมหนึ่งก็ถือเป็น แอนโธโลจี เล็กๆของตัวเองที่จะได้ใช้หนังตัวเองมาพูดถึงหนังต่างๆในประวัติการทำงานอีกครั้ง ซึ่งอย่ากล่าวหาว่า พี่พชร์ มุกตัน คิดอะไรไม่ออกเด็ดขาด เพราะมันมีทฤษฎีโพสต์โมเดิร์นที่เป็นการนำของเก่ามาตีความใหม่ ประเมินค่าใหม่ นำเสนอใหม่ รองรับอีกที แต่เมื่อเป็น พชร์ อานนท์ มันก็อาจถูกตั้งชื่อใหม่เป็น พชร์ โมเดิร์น ซึ่งต่อไปโลกอาจจะต้องจำใจยอมรับเข้าสักวัน

ปิดท้ายรีวิวฉบับนี้ ใครกังวลว่าหนังจะมีคำพูดไม่เหมาะสม พูดจาทะลึ่งตึงตังรึเปล่า ก็ขอบอกเลยว่า เพียบครับ! ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกๆแล้วกันนะครับ หากจะพกพาเด็กเล็กไปดู โดยไม่สนว่าหนังมันได้เรต น. 15+ น่ะครับ และท้ายสุดนี้ผมขอแสดงความบริสุทธิใจ ว่าค่ายหนังไม่ได้จ้างผมมาเขียนเชียร์หนังเรื่องนี้จริงๆแต่ด้วยคุณค่าของมันก็ต้องบอกว่า สงกรานต์ปีนี้ เล่นน้ำสนุกกว่านะครับ