Our score
5.4hellboy : เฮลล์บอย
จุดเด่น
- พลอตน่าสนใจ
จุดสังเกต
- โหด แหวะ เกินความจำเป็น
- มีของในมือ แต่ขยายมาเป็นบทไม่น่าสนใจ
- ชุดเฮลล์บอยไม่เนียน ดูชัดเป็นยาง
- ตัวร้ายไม่น่ากลัว เสียเวลาปูทางยาวนาน
- ฉากไคลแมกซ์ขมวดสั้น ง่ายดาย
-
ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
5.0
-
ความสมบูรณ์ของงานสร้าง
6.0
-
คุณภาพนักแสดง
5.0
-
ความแปลกใหม่
5.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
6.0
“นี่ไม่ใช่ภาค3 แต่เป็นภาครีบู๊ต” เป็นคำที่ผู้กำกับนีล มาร์แชล ประกาศก้อง ว่าหนังของเขาไม่ใช่ภาคต่อจากหนังทั้ง 2 ภาคของ กิเยร์โม เดลโตโร เมื่อปี 2004 และ 2008 ในรอบนั้นหนังอยู่กับค่ายใหญ่อย่างยูนิเวอร์แซล ภาพลักษณ์ของหนังก็เลยดูน่าตื่นตา ตื่นใจ แต่รายได้หนังก็ไม่สมศักดิ์ศรีของหนังซูเปอร์ฮีโร่ ภาคแรก 99.3 ล้าน ภาคสอง 160 ล้านหนังก็เลยหยุดอยู่แค่นั้น ผ่านมา 11 ปี ลิขสิทธิ์ตกมาอยู่กับค่าย Millennium picture ค่ายที่เจริญรุ่งเรืองจากการสร้างหนังลงแผ่นดีวีดี แล้วอัปเกรดตัวเองมาสร้างหนังโรงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี่เอง
ตั้งแต่ Hellboy 2019 ปล่อยตัวอย่างหนังออกมา หลายเสียงก็เริ่มพูดว่าภาพลักษณ์ของหนังดูไม่น่าสนใจ ผิดแผกไปจาก 2 ภาคก่อนภายใต้ความรับผิดชอบของ กิเยร์โม เดลโตโร มาก จนเมื่อได้ดูหนังจริงในความยาว 2 ชั่วโมงเป๊ะ ก็ยืนยันได้ว่าตัวหนังจริงก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นไปกว่าตอนที่ได้ดูตัวอย่างหนัง ทีมงานน่าจะเดินทางผิดตั้งแต่เลือกนีล มาร์แชล ผู้กำกับสายหนังสยองขวัญมารับหน้าที่ ด้วยความคิดว่าน่าจะเข้าทางกับ Hellboy ที่การ์ตูนต้นฉบับก็ดิบโหดพอสมควร และน่าจะประสบความสำเร็จอย่างที่ดีซีและมาร์เวลเคยกรุยทางนี้มาก่อน ด้วยการใช้ เจมส์ วาน มากำกับ Aquaman , สก็อตต์ เดอริคสัน จาก Sinister มากำกับ Doctor Strange และ เดวิด เอฟ. แซนด์เบิร์ก จาก Light Out และ Annabelle: Creation มากำกับ Shazam! แต่ผลออกมาเห็นชัดว่า นีล ไม่ได้รู้ถึงความพอดี หนังทะลุเลยขั้นของหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปไกล อัดแน่นไปด้วยฉากแหวะ ภาพการต่อสู้โหดที่ตัดหัวคู่ต่อสู้ขาดแบบถี่ ๆ ซากศพที่เละเทะ แขนขาขาดหัวเละ เห็นกันแบบชัด ๆ ที่มากจนควรใช้คำว่า “ยัดเยียด” เป็นการใช้ประโยชน์จากเรต R ได้อย่างฟุ่มเฟือย ทั้งที่ทีมงานคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จอย่าง Deadpool และ Logan 2 หนังซูเปอร์ฮีโร่เรต R ที่เป็นต้นแบบให้หนังซูเปอร์ฮีโร่รุ่นหลังอีกหลายเรื่อง
ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของนีล มาร์แชล ก่อนดูหนัง ก็รู้สึกชื่นชมกับความตั้งใจครับ นีลเล่าว่าเขาจะไม่เดินตามรูปบบของกิเยร์โม ที่ใส่วิสัยทัศน์ของตัวเองไปใน 2 ภาคก่อนอย่างมาก แต่hellboy ของเขาจะยึดภาพลักษณ์ตามการ์ตูนของไมค์ มิกโนลา ถึงขั้นให้ผู้กำกับภาพถอดแม่สีหลักจากหนังสือการ์ตูนมาคุมโทนสีในหนังให้ออกมาเหมือนการ์ตูนให้มากที่สุด แต่สุดท้ายภาพที่ออกมาก็ดูซีด ๆ ไม่สดใสชวนมองเอาเสียเลย สีผิวของตัวเฮลล์บอยจากที่เคยเห็นเป็นแดงหม่น พอมาภาคนี้ก็ดูผิวเป็นสีชมพูไปเสียงั้น ความเนียนของชุดก็ฟ้องชัดเจนเหลือเกิน หลาย ๆ ฉากก็เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดยาง โดยเฉพาะส่วนหน้าอกที่ต้องโชว์ชัดทั้งเรื่อง ส่วนซีจีในฉากอื่น ๆ ก็อยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ถึงกับว้าวแต่ก็ไม่หลอกตา
ชุดยางของเฮลล์บอยใหม่ ที่ดูไม่เนียนสมจริงนัก
ส่วนดีของหนังที่ต้องยอมรับคือพลอตที่น่าสนใจ ด้วยการหยิบตอน The Wild Hunt เป็นซีรีส์ชุดที่ 9 ของ Hellboy มาขยายเป็นเรื่องราวในภาคนี้ เนื้อหาเหมาะกับการใช้เป็นภาครีบู๊ตมาเพราะมีช่วงเกริ่นถึงกำเนิดของHellboy โดยไม่ต้องเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบหนังซูเปอร์ฮีโร่หลาย ๆ เรื่อง บวกกับการหยิบเรื่องราวน่าสนใจจากเล่มอื่น ๆ มาสอดแทรกระหว่างทาง โดยมีเรื่องราวหลักว่าด้วยภารกิจของเฮลล์บอย ที่ต้องกำจัด “นิมเว” แม่มดมากอิทธิฤทธิ์ที่เคยสร้างวีรกรรมป่วนไว้ในศตวรรษที่ 5 แล้วโดยกษัตริย์อาเธอร์ กับ พ่อมดเมอร์ลิน ร่วมกันกำจัดด้วยการสับร่างเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาแต่ละชิ้นส่วนใส่กล่องผนึกอาคม ให้อัศวินแต่ละคนแยกกันไปเก็บซ่อนคนละทิศคนละทาง ผ่านมายุคปัจจุบันอสุรกายหมูป่าก็ลุกขึ้นมารวบรวมชิ้นส่วนแม่มดนิมเวให้กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง
ในภาคนี้เฮลล์บอยรับหน้าที่เป็นมือปราบหลักของ หน่วยงานสำนักวิจัยและป้องกันเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ (Bureau for Paranormal Research and Defense) น่าจะเป็นเรื่องราวในยุคแรก ๆ ของหน่วยงานฯ เพราะมีสมาชิกเพียงแค่ 2 รายคือ ไดมิโอ มือปราบที่แปลงร่างเป็นเสือได้ และ อลิซ โมนาก์ฮาน สาวพลังจิต ไม่ได้มีสมาชิกครบทีมอย่างที่เคยเห็นใน 2 ภาคก่อนหน้าก็เลยทำให้ขาดสีสันในการปฏิบัติการไปพอสมควร อย่างที่กล่าวว่าหนังมีพลอตที่น่าสนใจ แต่หนังมอบหมายให้มือใหม่อย่าง แอนดรูว์ คอสบี้ ที่เคยมีประสบการณ์เพียงแค่เขียนบททีวีซีรีส์มาแค่ 2 เรื่อง ก็ไม่สามารถขยายพลอตออกมาเป็นหนัง 2 ชั่วโมงให้น่าติดตามได้เท่าที่ควร ทั้งที่มีวัตถุดิบที่น่าสนใจทั้งยักษ์ ทั้งสัตว์ประหลาด แถมด้วยดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ ทั้งแม่มดแต่ช่วงกลางเรื่องเล่นเอาชวนวูบไปได้เหมือนกัน
จากนี้มีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญของเรื่อง
สิ่งที่น่าผิดหวังคือตัวแม่มดนิมเว ที่ปูความมาตั้งแต่ต้นเรื่องถึงความน่ากลัว แต่กลับเปิดตัวไปทางขบขัน ให้แม่มดที่ต่อร่างยังไม่ครบ นั่งกดรีโมตกินขนมดูทีวี ออกมาแบบนี้ก็ต้องโทษรวมทั้งบทภาพยนตร์และตัวมิลลา โจโววิช ล่ะนะ บทก็ไม่ได้ส่งให้เธอได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรมากมายนัก บวกกับตัวมิลลาเอง ก็ไม่ได้สื่อให้เห็นถึงความน่ากลัวได้เลยสักนิด มิลลา ในวัย 44 ยังเป๊ะทั้งหน้าทั้งหุ่น เมคอัปก็พาให้เธอไปทางแม่มดเจ้าเสน่ห์เสียมากกว่าเป็นแม่มดสายโหด ชุดที่โชว์เนินอกตลอดยิ่งพาให้ดูเซ็กซี่จนเกินความน่ากลัวไปไกล อยากให้ทีมงานนึกถึง “เฮล่า”พี่สาวของธอร์ให้มาก ๆ รายนั้นโผล่มาไม่นานก็สัมผัสได้แล้วถึงพลังความน่ากลัว ฉากปะทะกันของนิมเว และ เฮลล์บอย ก็หมดไปกับการใช้วาทศิลป์เสียมากกว่า เรียกว่าไม่ได้สู้กันเลยเหอะ เป็นแม่มดที่จัดการได้แบบไม่เสียเหงื่อเลยสักหยดเดียว บรรดาสัตว์ประหลาดจากนรกที่โผล่มาเพ่นพ่านในเมือง ก็ไม่ได้มีให้เห็นมากกว่าในตัวอย่างหนังสักเท่าไหร่นัก ฉากอาละวาดทำลายเมืองไม่น่าจะเกิน 3 นาทีนัก แล้วทั้ง 3 นาที ก็เหมือนการระบายความอัดอั้นของผู้กำกับ ที่ให้บรรดาสัตว์ประหลาดโผล่มาฆ่าคนด้วยวิธีการโคตรโหด จับฉีกร่างเป็นชิ้น ๆ ผมว่านีล มาร์แชล นี่โรคจิตนะ
สรุปได้ว่า Hellboy (2019) มาในแนวทางที่ต่างจาก 2 ภาคของ กิเยร์โม เดลโตโร อย่างมากกก กลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่สายโหดที่ไม่ได้โหดจากเนื้อหาหรือตัวละคร แต่โหดและแหวะจากวิสัยทัศน์ของผู้กำกับที่ยัดเยียดลงไปในหนังนั่นแหละ เนื้อหาน่าสนุกด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง แต่ถ่ายทอดได้ไม่น่าติดตาม ออกมาดูเป็นหนังเกรดบีมาก
หนังมีฉากโพสต์เครดิต 2 ครั้งตามธรรมเนียม ทั้ง 2 ฉากไม่น่าสนใจเลย เดินออกเลยก็ได้นะ เพราะฉากที่น่าสนใจสุดโผล่มาในวินาทีสุดท้ายของเรื่องแล้ว กับการเผยตัวละครขวัญใจแฟน ๆ Hellboy ส่วน 2 ฉากหลังเครดิตนั้น ตัวแรกไม่ต้องรอนานเฮลล์บอยเจอกับลอบสเตอร์ จอห์นสัน สมาชิกอาวุโสของ หน่วยงานสำนักวิจัยและป้องกันเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ที่เป็นเพื่อนกับพ่อของเฮลล์บอย ออกมาพูดคุยทักทายกันพองามแล้วก็บ๊ายบาย ไม่ได้มีเนื้อหาสำคัญกับเรื่องราวในภาคนี้หรือภาคต่อ , ฉากที่2 รอยาวนานมากกกก เป็นการเกริ่นนำถึงตัวร้ายในภาคต่อไป เราเห็นแต่ภาพของแม่มดบาบายาก้าพูดคุยกับบุคคลรายนี้ ที่จะออกมาตามล่าเฮลล์บอยในภาคต่อไป สำหรับแฟน ๆ ที่อ่านการ์ตูน hellboy น่าจะรู้ว่าใคร ส่วนผมไม่ใช่แฟนการ์ตูนก็เลยยังไม่รู้ว่าใคร แต่รู้ไปก็แค่นั้นครับ หนังไม่น่าจะมีภาค 2 หรอก ก็หวังต่อไปว่าอีกสัก 10 ปี คงจะมีใครรีบู๊ตอีกสักรอบนะ