Our score
10.0Avengers Endgame
จุดเด่น
- นี่คือหนังที่หวังจะได้เห็นอะไร เราก็ได้เห็น
- มีปมดราม่าที่แข็งแรงสร้างความผูกพันธ์ให้ตัวละคร
- หนังสามารถเชื่อมร้อยจักรวาลตลอดเวลา 12 ปีได้สมบูรณ์เหลือเหลือเกิน
- บทหนังสามารถสร้างทัศนคติด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างดี
- นี่คือประสบการณ์ดูหนังที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง
จุดสังเกต
-
ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
10.0
-
คุณภาพงานสร้าง
10.0
-
ความแปลกใหม่
10.0
-
ความสนุก
10.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
10.0
หลัง ธานอส ดีดนิ้วสลายสิ่งมีชีวิตไปครึ่งจักรวาล สร้างบาดแผลให้ทีมอเวนเจอร์สอย่างยากจะเยียวยา แต่ด้วยเลือดนักสู้พวกเขาเลือกแปรความเจ็บปวดแล้วร่วมมือผู้รอดชีวิตต่อสู้กับเจ้าแห่งจักรวาล แม้จะด้อยทั้งกำลังคนและพละกำลัง แต่เพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวอเวนเจอร์ส พวกเขาจะยืนหยัดต่อกรกับธานอสแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
นับจาก Ironman ภาคแรกในปี 2008 จนถึง Avengers Infinity War ในปี 2018 ที่ผ่านมาสิริรวมหนังเฉพาะในจักรวาลหนังมาร์เวลอย่างเป็นทางการ 21 เรื่องที่ผ่านมา หนังได้แนะนำให้เราได้รู้จักทั้งเศรษฐีค้าอาวุธกลับใจ คนตัวเล็กๆ ที่ต้องการโอกาสในการรับใช้ชาติ เทพเจ้าที่ค้นพบคุณค่าความเป็นมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ผู้มีปีศาจแห่งความโกรธแฝงในตัว กลุ่มคนนอกคอกแห่งกาแล็คซี่ เด็กน้อยที่พยายามบาลานซ์เรื่องครอบครัวและการปกป้องโลก กระทั่งหัวขโมยกลับใจมาเป็นฮีโร่ร่างจิ๋ว ไม่เว้นแม้แต่ฝั่งสาวๆ ที่ทำให้หนุ่มๆ เห็นถึงพลังของผู้หญิงที่มาพร้อมกับความสวยงาม ซึ่งจากที่กล่าวมาหากเราถอดพลังวิเศษ ถอดชุดเกราะหรือเรื่องราวไซไฟล้ำยุคออก มันแทบจะเป็นบทบันทึกด้านมนุษยวิทยาร่วมสมัยย่อมๆ ได้เลย จนระยะเวลาร่วม 12 ปี มาร์เวลไม่เพียงทำให้เหล่าซูเปอร์ฮีโร่เป็นเพียงผู้พิทักษ์ หรือเป็นไอดอลสำหรับคนดูเท่านั้น แต่เรื่องเล่าและตัวละครที่แข็งแรงของมันกลับทำให้พวกเขากลายเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย และท้ายที่สุดบางคนก็กลายเป็นพ่อ ที่เราผูกพันสัมผัสได้ถึงจิตใจแห่งความเป็นมนุษย์นั่นต่างหากคือความแข็งแรงของจักรวาลภาพยนตร์มาเวลที่ยากเกินใครเลียนแบบ
ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่หนังมาร์เวลแต่ละเรื่องมีความโดดเด่น แตกต่างและได้ความบันเทิงแบบไม่ทิ้งคุณภาพของภาพยนตร์คือการคัดเลือกผู้กำกับที่ตาถึงมากๆ ของ เควิน ไฟกี โปรดิวเซอร์ผู้เป็นเสมือน นิค ฟิวรี่ ผู้ประสานจักรวาลภาพยนตร์ที่ผ่านมาตลอด 3 เฟส และการตัดสินใจที่เรียกได้ว่าแจ๊คพ็อตครั้งหนึ่งของไฟกี คือการเลือก แอนโธนี และ โจ รุสโซ่ เลื่อนขั้นจากผู้ช่วยผู้กำกับมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวตั้งแต่ Captain America Winter Soldier ที่แอบใส่เรื่องการเมืองร่วมสมัยลงไป และมาทดลองทำหนังก่อนอเวนเจอร์ส อย่าง Captain America Civil War ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังอเวนเจอร์สย่อมๆ ได้เลย และแน่นอนเมื่อได้มาสานต่อหนังที่ใกล้ปิดท้ายเฟส 3 อย่าง Avengers : Endgame พี่น้องรุสโซ่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากบทภาพยนตร์ที่กลั่นกรองมาเป็นอย่างดีทั้งเหตุปัจจัยต่างๆที่บีบให้ตัวละครต้องสู้ เดิมพันที่ตัวละครจะต้องจ่ายเพื่อให้ชนะศึกครั้งนี้ที่ถูกถักทออย่างเป็นเหตุเป็นผลมากๆ จนหนังกล้าที่จะให้เรื่องราวกว่า 40% ของมันเป็นดราม่าทั้งที่คนดูต่างตั้งความหวังมาดูฉากแอ็คชั่นหรือความแฟนตาซี แต่ดราม่าของมันกลับนำพาอารมณ์ผู้ชมไปสำรวจจิตใจและสร้างอารมณ์ร่วมกับตัวละครอย่างได้ผล โดยเฉพาะการกำกับซีนดราม่าที่เอาคอเมดีแทรกของพวกเขายังทำให้เห็นทักษะในการเล่นกับอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังสามารถเชื่อมร้อยเหตุการณ์ในหนังก่อนหน้าได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าประทับใจมาก
ในส่วนดราม่าครอบครัวขอบอกว่าประเด็นที่โดนใจผมมากที่สุดหนีไม่พ้นการตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทความเป็นพ่อที่หนังทำออกมาได้ลึกซึ้งมาก โดยไม่ได้เป็นเพียงการเล่นง่ายๆ แต่หลายปมของหลายตัวละครมันกลับทำให้เราได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าหากเรามีครอบครัวที่สมบูรณ์จะเอาไปเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมมั้ย หรือกระทั่งการให้ความหมายของครอบครัวที่ไปไกลกว่าแค่บ้านที่มีพ่อแม่ลูกแต่เป็นมิตรสหายที่เข้าอกเข้าใจเป็นคนแบบเดียวกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่มันสามารถเชื่อมโยงและสัมผัสใจคนดูได้เป็นอย่างดีในหนังมาร์เวลตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถ้าสังเกตดีๆในหนังของมาร์เวลจะแอบแทรกดราม่าครอบครัวไว้ตลอด ไม่เว้นแม้แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูหน้าหนังมุ่งขายความบันเทิงอย่าง Endgame ก็ยังใช้ดราม่าครอบครัวมาเชื่อมร้อยปมต่างๆในหนังได้เป็นอย่างดี และมันยังเป็นเหตุผลรองรับและเดิมพันครั้งใหญ่ในการต่อสู้ของตัวละครทุกตัวได้เป็นอย่างดี ทั้งในแง่ครอบครัวแบบพ่อ แม่ ลูก หรือครอบครัวอเวนเจอร์สที่ผูกพันกันมากกว่าแค่มิตรสหายร่วมรบธรรมดา
อีกส่วนหนึ่งของหนังที่อยากชื่นชมคือการพยายามเปลี่ยนทัศนคติและสร้างมุมมองด้านบวกต่อเพื่อนมนุษย์ ทั้งการให้ความโดดเด่นกับตัวละครผู้หญิง ด้วยภาพลักษณ์ของนักรบที่พร้อมทั้งความงามและความกล้าหาญ รวมไปถึงบทบาทสำคัญในการประคับประคองครอบครัว หรือการให้พื้นที่คนผิวสีในหนังฮีโร่ ซึ่งแม้จะมีช่วงเวลาโชว์พลังหรือความโดดเด่นน้อยไปหน่อย แต่เรียกได้ว่าแมสเสจที่ผู้สร้างพยายามจะส่งผ่านไปยังผู้ชมก็สามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการสานต่ออารมณ์ร่วมของยุคสมัยทั้งการเมืองเรื่องเพศ การเมืองเรื่องสีผิว และทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างดิสนีย์ ดูเป็นองค์กรที่มีความหลากหลายในเชิงพหุวัฒนธรรมจากคอนเทนต์ที่ผลิตมาตลอด 12 ปีนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือแม้ชื่อภาคและการตลาดจะทำให้เราจดจ่อแค่ว่าเหล่าฮีโร่จะจัดการกับธานอสยังไง แต่ที่จริงมันกลับมีเรื่องเล่าที่สัมผัสใจ และความสนุกที่เกินพิกัดเท่าที่หนังเรื่องหนึ่งจะให้ได้จริงๆ
สิ้นสุดการรอคอยไปเผด็จศึกกับเหล่าอเวนเจอร์ส คลิกเลย