[รีวิว]Arctic : บีบคั้นหัวใจ
Our score
7.9

ARCTIC : อย่าตาย

จุดเด่น

  1. แมดส์ ฝากการแสดงที่น่าจดจำสื่อสารด้วยสีหน้าและสายตา
  2. บทระดมอุปสรรคใส่ตัวละครต่อเนื่องได้อย่างน่าติดตาม
  3. ถ่ายทอดทัศนียภาพของดินแดนอาร์คติคได้สวยงาม
  4. จบได้สวยงาม
  5. ทำบาดแผลได้น่าหวาดเสียวมาก

จุดสังเกต

  1. หนังสงวนถ้อยคำอธิบายอย่างมาก บางกิจกรรมของตัวละครเราก็ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไร
  • ตรรกะความสมเหตุสมผลของบท

    8.0

  • คุณภาพนักแสดง

    9.0

  • ความสนุก

    7.5

  • คุณภาพงานสร้าง

    8.0

  • คุ้มเวลา+ค่าตั๋ว

    7.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย

หนังแนวดิ้นรนเอาชีวิตรอดเป็นอีกแนวที่ฮอลลีวู้ดขยันสร้างออกมาเนือง ๆ เพราะเป็นหนังที่ไม่ต้องใช้ทุนสร้างสูง ใช้นักแสดงเพียงแค่ 2-3 คน แต่ที่สำคัญบทภาพยนตร์ต้องน่าสนใจ มีเหตุการณ์ตื่นเต้นที่จะจับให้คนดูติดตามหนังได้ตลอดเรื่องจนจบ เราเคยชมกันมาแล้วทั้งเนื้อหาที่เกี่ยวกับผู้เคราะห์ร้ายที่เรือแตกกลางทะเล , คนโดนหินทับมืออยู่กลางภูเขา , สาวที่ติดอยู่บนโขดหินกลางทะเลมีไอ้หลามตัวเขื่องว่ายวน มาถึงเรื่องนี้เรื่องขายชายสูงวัยที่พยายามเอาชีวิตรอดกลางดินแดนน้ำแข็งแถมยังมีคนเจ็บหนักอยู่ในการดูแลอีก แถมเรื่องนี้ยังดีกรีเป็นหนังที่ได้เข้าประกวดรางวัล Camera d’Or ในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี 2018 อีกด้วย และเมื่อหนังจบก็ได้รับการลุกขึ้นยืนปรบมือชื่นชมจากผู้ชมยาวนานถึง 10 นาที

arctic ใช้นักแสดงเพียงแค่ 3 คน โดยหน้าที่หลักเป็นของแมดส์ มิคเคลเซน ตัวร้ายอมตะของโลกภาพยนตร์ ที่รอบนี้แมดส์บอกว่านี่คือหนังที่ถ่ายทำได้ยากเย็นที่สุดในชีวิตการแสดงของเขาแล้ว เพราะเขาต้องแบกรับหนังเพียงคนเดียวตลอดทั้งเรื่อง แมดส์ รับบทเป็น “เอช. โอเวอร์การ์ด”ชายผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินตกเพียงคนเดียว หนังไม่มีการเล่าที่ไปที่มาของเขา เราได้รับรู้ชะตากรรมของเขาจากการที่ได้เห็น เอช.อาศัยอยู่ในซากเครื่องบินปีกหัก เปิดเรื่องมาก็ให้เราเห็น เอช. ดำเนินชีวิตประจำวันด้วยการเจาะพื้นน้ำแข็งหาปลา เขียนแผนที่สำรวจเส้นทางรอบ ๆ ที่พักของเขา และหมดเวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการปั่นไฟให้กับเครื่องส่งสัญญาณเผื่อปาฏิหารย์มีจริง แล้วมีผู้ได้รับสัญญาณจากเขา มีการแวะทักทายหลุมศพเพื่อนที่กองปิดทับด้วยก้อนหินเล็ก ๆ

ได้สัมผัสชะตากรรมทุกข์ยากของเอช.อยู่ไม่นาน ความหวังก็โผล่มาให้เห็น เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลำเล็กโผล่มาและพยายามลงจอดเพื่อช่วยเหลือเขา แต่กลายเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเฮลิคอปเตอร์เกิดทานพายุหิมะไม่ไหวแล้วร่วงกระเทกพื้น จากความหวังกลายเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อนักบินตายคาที่ แล้วผู้โดยสารหญิงที่รอดชีวิตก็สาหัสหนักมีแผลที่หน้าท้อง ไม่สามารถแม้แต่เคลื่อนไหวหรือพูดจาสื่อสารกับเอช.ได้เลย จากเพียงแค่เอาชีวิตตัวเองรอด กลายเป็น 2 ชีวิต เอช.จึงตัดสินใจออกเดินทางแทนการรอความช่วยเหลืออย่างที่ผ่านมา ด้วยการใช้แผนที่ที่ได้จากเฮลิคอปเตอร์ แล้วมองเห็นเป้าหมายคือสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาเดินเท้าไปเพียงไม่กี่วันจากจุดที่เขาอยู่

ตั้งแต่นาทีที่ออกผจญภัย โทนหนังก็ชวนลุ้นมากขึ้น บทหนังใจร้ายกับตัวละครอย่างมาก ระดมใส่อุปสรรคานานับประการทั้งความยากลำบากจากเส้นทางเบื้องหน้า สัตว์ร้ายประจำดินแดนน้ำแข็ง อุบัติเหตุรุนแรงที่ทำให้การเดินทางยากลำบากหนักขึ้นไปอีก อาการของหญิงสาวที่แย่ลงเป็นภาระหนักมากขึ้นสำหรับเอช. ตัวหนังค่อนข้างสั้นเพียงแค่ 90 นาที แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปแบบเคร่งเครียด กดดัน บีบคั้น กับทุกอุปสรรคที่คนเขียนรังแกตัวละครของเขาเอง ทุกสถานการณ์ร้ายที่เอช.ต้องเผชิญก็เป็นฉากที่เราต้องร่วมลุ้นกันตัวเกร็งเพื่อเอาใจช่วยให้เอช.ผ่านพ้นเอาชีวิตรอดไปให้จงได้ นับเป็นความสามารถที่ส่งผ่านประสบการณ์การแสดงกว่า 20 ปีของแมดส์ล้วน ๆ แน่นอนว่าหนังแนวนี้ต้องอาศัยความสามารถทางการแสดงเป็นหลักเพราะทั้งเรื่องแทบไม่มีบทสนทนา ต้องสื่อผ่านสีหน้าและสายตาเป็นหลัก ซึ่งแมดส์ก็ทำหน้าที่สื่อถึงคนดูได้ชัดเจน สัมผัสได้ถึงความหวังที่จะต้องมีชีวิตรอดผ่านสายตาให้เห็นอยู่เสมอ และบางช่วงที่เขายอมพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมก็ทำเอาจิตใจคนดูห่อเหี่ยวไปด้วยได้

จะมีผิดคาดไปนิดจากความคุ้นเคยกับหนังแนวนี้ ที่คาดหวังว่าหนังจะเผยที่ไปที่มาของเอช.เมื่อหนังเดินหน้าไป ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงโชคร้ายมาเครื่องบินตกอยู่ที่นี่ และทำไมถึงมีวิชาการเอาตัวรอดได้ดีเพียงนี้ แต่จนแล้วจนรอดหนังก็ไม่เผยอดีตของเขาให้เรารับรู้ แต่ก็นับเป็นส่วนดีของหนังเช่นกันที่ทำให้คนดูรับรู้อะไรที่น้อยลงแล้วโฟกัสไปกับหนทางเบื้องหน้าที่พาเราก้าวไปพร้อม ๆ กับเอช. , มาเรีย เทลมา นักแสดงร่วมที่มารับบทเป็นหญิงโชคร้าย หนังไม่ได้เปิดเผยให้รับรู้ว่าเธอชื่ออะไร แต่เหมือนกับว่าหนังกำหนดให้เธอเป็นคนไทย เพราะถือบัตรประชาชนไทย

แม้ว่าหนังจะเคร่งเครียดกดดันไปกับโชคชะตาอันเลวร้ายของเอช. แต่หนังก็ยังช่วยให้ผ่อนคลายได้ด้วยภาพมุมกว้างสวย ๆ ของดินแดนน้ำแข็งสีขาวตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ที่ให้ความรู้สึกทั้งความสวยงามของทัศนียภาพและขณะเดียวกันก็แสดงถึงขอบเขตอันกว้างไกลที่ไร้ผู้คน ซึ่งหมายถึงความหวังอันรอดชีวิตที่ไกลริบหรี่ของเอช.เช่นกัน ตลอดทั้งเรื่อง เอช.ใส่เสื้อโอเวอร์โคตสีแดง ก็เลยเป็นจุดเด่นชัดเจนในภาพที่ลอยเด่นอยู่บนฉากหลังสีขาวโพลน และสุดท้ายเจ้าโอเวอร์โคตแดงก็ได้ทำหน้าที่สำคัญของมันเช่นกัน กับฉากจบที่ถือว่ามีความคิดสร้างสรรค์ ให้ผู้ชมเติมเต็มชะตากรรมของทั้งคู่ด้วยตัวเอง

 

Play video