Our score
7.4X-Men Dark Phoenix
จุดเด่น
- สนุกกว่าภาค Apocalypse แน่ๆ
- มีฉากแอ็คชั่นดีๆอยู่เยอะ
จุดสังเกต
- โซเฟีย เทอร์เนอร์ ยังไม่มีเสน่ห์บนจอนัก
- การดำเนินเรื่องยังไม่ค่อยมีเหตุมีผลนัก
-
ตรรกะความสมเหตุสมผลของบท
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
7.5
-
ความสนุก
7.5
-
คุณภาพงานสร้าง
7.5
-
คุ้มค่าตั๋ว
7.5
ว่ากันที่ตัวโปรเจกต์ Dark Phoenix เองก็ไม่ต่างจากนกฟีนิกซ์ที่ดับแล้วเกิดใหม่เท่าใดนัก เพราะหลังประกาศสร้างในปี 2016 (3 สัปดาห์ก่อนภาค Apocalypse ออกฉาย) หนังก็ต้องเผชิญกับอภิมหากาพย์การถ่ายซ่อมจนเลื่อนวันฉายกันมาถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งได้เข้าฉายจริงในสัปดาห์นี้ โดยหนังหยิบยกเหตุการณ์จาก The Dark Phoenix Saga ใน X-Men เล่มที่ 150 ซึ่งถือเป็นอีเวนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมาดัดแปลงเป็นบทหนัง และแม้ว่าเราจะได้เห็นจีน เกรย์กลายร่างเป็นฟีนิกซ์กันมาแล้วบนจอทั้ง X-Men The Last Stand ในปี 2006 หรือจะเป็นตอนท้ายของ X-Men Apocalypse (2016) แต่ Dark Phoenix จะเป็นครั้งแรกที่หนังจะไปโฟกัสที่พลังด้านมืดของจีน เกรย์และการรับมือของเธออย่างจริงจังเพื่อให้เห็นทั้งด้านมืดของพลังและความเปราะบางของจิตใจเด็กสาวที่มีอดีตอันเลวร้าย ซึ่งหนังได้ ไซมอน คินเบิร์ก ที่เคยเขียนบทหนังเอ็กซ์เม็นมาตั้งแต่ภาค The Last Stand ยัน Apocalypse (ยกเว้นภาค First Class ที่ผู้กำกับ แมตธิว วอห์น เขียนเอง) มาประเดิมงานกำกับครั้งแรกและยังเขียนบทหนังภาคนี้เช่นเคย
จุดเด่นของบทหนังคงหนีไม่พ้นการพยายามพาเรากลับไปสำรวจชีวิตของจีน เกรย์ ตั้งแต่วัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่เริ่มจากการพยายามปกป้องจิตใจของฝ่ายหลังจนเกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายตามมาได้เป็นอย่างดี ซีนที่ประทับใจหนีไม่พ้นซีนที่ชาร์ลส์ ยืนปากกาให้ จีน เป็นของขวัญพร้อมบอกเธอว่า เธอจะใช้ปากกาเขียนหนังสือหรือเป็นอาวุธก็ได้ ยังไงมันก็เป็นปากกา เป็นของขวัญไม่ต่างจากพลังของเธอ ซึ่งบทหนังส่วนนี้เขียนได้ชาญฉลาดมาก แต่น่าเสียดายที่ซีนดีๆมันดันหมดลงทันทีหลัง จีน เกรย์ กลายเป็นผู้ใหญ่ เพราะตัวบทหนังได้สร้างรูโหว่ไว้เพียบแถมยังไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยจีน เกรย์ หรือกระทั่งทำไมเหล่าเอ็กซ์เมนต้องปกป้องจีนด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง จีน กับ ไซคลอปส์ ที่หนังเองยังวางไว้ได้ไม่ดีพอเราเลยไม่ค่อยซึ้งหรืออินกับความสัมพันธ์ทั้งคู่นัก หรือแม้กระทั่งพลังคอสมิกของจีน เกรย์ ก็ดันไม่ได้เล่าอะไรไปมากกว่าฉากปล่อยลำแสงเฮ้ากวงออกมาซัดศัตรูให้ติดกำแพง ซึ่งเอาเข้าจริงในเวอร์ชั่นคอมิกคือมีพลังถึงขั้นบิดมิติเวลาด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แต่ละคาแรกเตอร์นำจากหนังภาคเก่ายังถูกบอกเล่าได้อย่างงงวย อย่าง ชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่คราวนี้เปิดเรื่องมาก็ใช้อำนาจสั่งการให้เอ็กซ์เม็นออกนอกโลกไปช่วยคนในภารกิจอันตราย พอจีนรับพลังกลับมาก็ดันมาสำนึกผิดทีหลังเหมือนคนเป็นไบโพลาร์ไม่เหลือเค้าศาสตราจารย์ที่ชาญฉลาดและมีเมตตาไว้เท่าใดนัก หรือจะเป็นแม็กนีโต ที่หนังให้ข้อมูลค่ายรวมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ของเขาน้อยไปหน่อย ทั้งที่มันถูกใช้เป็นสนามรบในฉากใหญ่ของเรื่อง รวมถึงเหล่าตัวละครสมทบที่ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องราวเท่าที่ควร โดยเฉพาะการพูดถึงปัญหาการเมืองร่วมสมัยที่สามารถหยิบจับเหตุการณ์ต่างๆมาเป็นวัตถุดิบชั้นดีได้สบาย ซึ่งตรงนี้แหละที่บทหนังของไซมอน คินเบิร์ก หลงลืมหัวใจของการเป็นหนังอิงการเมืองซึ่งเข้มข้นมากในหนัง 2 ภาคแรกตั้งแต่ปี 2000 รวมถึงการบอกเล่าตัวละครสมทบให้มีความน่าสนใจ มีเลือดมีเนื้อมากกว่านี้ก็จะทำให้บทหนังมีความสมบูรณ์มากกว่าการพยายามยัดบทสรุปสำเร็จรูปให้หนังตามที่ปรากฎ
แต่ใช่ว่านี่จะเป็นหนัง เอ็กซ์เม็น ภาคที่แย่อะไรนะครับ ตรงกันข้ามหนังอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นน่าจดจำมากมาย โดยเฉพาะองก์สุดท้ายบนรถไฟที่หนังทำออกมาตื่นเต้นดีมาก หรือจะเป็นดนตรีประกอบที่ได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ มาทำเพลงให้จนได้สกอร์ที่ทรงพลังมากๆ ในด้านนักแสดงคงต้องยอมรับว่าหากมองที่รูปลักษณ์ภายนอกการเลือกโซเฟีย เทอร์เนอร์ มารับบทนำอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีในแง่การทำตลาด แต่กลับขาดเสน่ห์บนจออย่างรุนแรง ยิ่งเรื่องราวของจีน เกรย์ ไม่ได้ประเด็นรักสามเศร้าเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ก็ทำให้จีน เกรย์ดูเป็นตัวละครหลักลอยถูกจูงจมูกง่ายเวอร์ ซึ่งใครคิดจะดู Dark Phoenix อาจต้องทำใจกันสักนิดเรื่องการแสดง การเล่าเรื่อง แต่ถ้าพูดถึงฉากแอ็คชั่น รับรองมันส์..หายห่วงครับ