[รีวิว]Remi Nobody’s Boy:คุณค่าที่สัมผัสได้ในวรรณกรรมคลาสสิค
Our score
9.0

remi nobody's boy : เรมิหนุ่มน้อยเสียงมหัศจรรย์

จุดเด่น

  1. ครบถ้วนทั้งสาระและข้อคิด ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
  2. หนังสวย ดนตรีประกอบไพเราะ
  3. นักแสดงนำเล่นได้ดีทั้งคู่
  4. เล่าเรื่องราวการผจญภัยได้สนุกและน่าติดตาม

จุดสังเกต

  1. หน้าหนังขาดเสน่ห์ที่น่าสนใจ
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    8.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    10.0

  • คุณภาพ ฝีมือนักแสดง

    10.0

  • ความสนุก

    8.0

  • คุ้มเวลา ค่าตั๋ว

    9.0

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

อยากเล่าว่าก่อนที่ไปดูรอบสื่อเรื่องนี้ ผมไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลย ก่อนไปดูก็รู้เพียงว่านี่คือหนังฝรั่งเศสเกี่ยวกับเด็กเท่านั้น แต่แค่หนังเปิดเรื่องไม่กี่นาทีก็สร้างความประทับใจให้ผมได้กับภาพความสวยงามของภูมิประเทศย่านชนบทของฝรั่งเศส แล้วจากนั้น ทุกองค์ประกอบของหนังทั้งการแสดง ภาพ และดนตรี ตรึงผมให้อยู่กับหนังได้ตลอด 1 ชั่วโมง 45 นาทีและเป็นทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปอย่างรื่นรมย์ เป็นอีกประสบการณ์ชมภาพยนตร์ที่ผ่านไปอย่างมีความสุขและดีใจที่ได้ดู

คุณค่าของ Remi Nobody’s Boy ส่วนหนึ่งมาจากต้นฉบับที่เป็นวรรณกรรมคลาสสิค Sans Famille ประพันธ์โดย เฮคเตอร์ มาโลต์ ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 1878 ถ้านับถึงตอนนี้ก็ 141 ปีแล้ว ด้วยคุณค่าของเนื้อหาที่ผู้อ่านทั่วโลกเล็งเห็น Sans Famille จึงไม่้สูญหายไปตามกาลเวลา แต่กลับถูกเล่าใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ กันทั้ง หนังสือการ์ตูน , การ์ตูนที่ฉายทางทีวี และภาพยนตร์อนิเมชัน ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่น , ฮ่องกง และโซเวียต ฝรั่งเศสเองก็สร้างมาแล้ว 4 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 รอบนี้เป็นฝีมือของ อังตวน บลอซเซอร์ ที่เหมาทั้งหน้าที่เขียนบทและกำกับ

ต้นฉบับที่เฮคเตอร์ มาโลต์ เขียนไว้เป็นนิยาย 2 เล่มจบ เรื่องราวของ Remi Nobody’s Boy นั้นเล่าแค่เหตุการณ์ในเล่มแรกเท่านั้น มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย แต่ยังคงจุดสำคัญที่เป็นหัวใจของบทประพันธ์ไว้ เรมิ เป็นเด็กชายวัย 10 ปี อาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นชาวไร่ ส่วนพ่อออกไปทำงานที่ต่างเมืองตั้งแต่เรมิแรกเกิด เรมิยังไม่เคยเจอหน้าพ่อ มรสุมชีวิตของเรมิเริ่มส่อแววเมื่อพ่อส่งจดหมายมาว่าเขาบาดเจ็บที่ขาอุบัติเหตุในการทำงาน ต้องการเงินในการจ้างทนายฟ้องร้อง ทำให้แม่ต้องขายรูสเซ็ตวัวที่เป็นเพื่อนรักเพียงตัวเดียวของเรมิไป เพื่อเอาเงินส่งไปให้พ่อ แล้วพ่อก็กลับมา เมื่อเรมิพบหน้าพ่อครั้งแรกในชีวิตเขาก็ต้องพบกับความจริงที่โหดร้าย เมื่อได้รับรู้ว่าทั้งพ่อและแม่เก็บเรมิมาเลี้ยง พ่อพบเรมิเป็นทารกน้อยที่ถูกวางทิ้งไว้ข้างทาง พ่อเอาเรมิมาส่งให้แม่เพื่อให้ส่งให้บ้านเด็กกำพร้าแล้วพ่อก็ออกเดินทางไปทำงานต่างเมือง เมื่อพบว่าแม่เก็บเรมิไว้เลี้ยงเอง พ่อจึงเอาเรมิไปส่งบ้านเด็กกำพร้า แต่เจอกับวิเทลิสนักแสดงเร่ที่เคยได้ยินเสียงเรมิร้องเพลง เลยขอซื้อตัวเรมิไว้เอง ชีวิตของเรมิพลิกผันแบบไม่คาดฝัน จากเด็กน้อยบ้านไร่ ต้องออกผจญภัยกับชายแก่ที่มีหมาและลิงเป็นเพื่อนร่วมเดินทางไกล

การเดินทางของเรมิสนุกสนานมาก ได้พบกับเพื่อนใหม่ ได้เจอภยันตรายมากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้รับความรักเอาใจใส่อย่างเกินคาดจากวิเทลิส ที่เรมิเรียกเขาว่า “นาย”ด้วยความเคารพ เราได้ผจญภัยไปกับเรมิและวิเทลิสโดยไม่รู้ว่าจะเจออะไรเบื้องหน้า และที่สอดแทรกไประหว่างทางก็คือการเผยตัวตนของวิเทลิส ที่ทำให้คนดูรักตัวละครรายนี้มากขึ้น และเข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมวิเทลิสถึงรักและเอ็นดูเรมิมาก สอนเรมิให้อ่านออกเขียนได้ สอนเรมิให้ร้องเพลง และตั้งใจให้เรมิประสบความสำเร็จด้วยการดึงพรสวรรค์ในการร้องเพลงออกมา ด้วยเรื่องราวที่ปูมาว่าเรมิมีเสียงร้องที่ไพเราะมาก ทำให้คาดเดาว่าหนังจะลงเอยด้วยฉากโชว์เสียงร้องที่อลังการตามสไตล์หนังร้องเพลงทั่วไป แต่ผิดคาดครับ หนังมีฉากให้เรมิโชว์เสียงแค่ฉากเดียว แล้วองก์สุดท้ายของหนังก็เป็นการหาคำตอบถึงตัวตนที่แท้จริงของเรมิ เมื่อเขาได้รับเบาะแสถึงต้นกำเนิดที่แท้จริง และครอบครัวก็ตามหาเด็กน้อยที่สาบสูญไปเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เส้นทางก็ไม่ราบรื่นนัก มีเหตุการณ์ให้พลิกผันไปมา

แม้ว่าหน้าหนังจะดูเป็นเรื่องราวเด็ก ๆ แต่เรื่องราวที่เดินหน้าไปก็สนุกได้ทุกวัย การเดินทางของเรมิและวิเทลิสมีสถานการณ์คับขันให้ลุ้นได้เรื่อย ๆ หนังเปี่ยมไปด้วยองค์ประกอบที่ครบถ้วน ทั้งงานภาพ เสียง และการแสดง บทที่เล่าเรื่องราวได้ครบทุกอารมณ์อย่างแรกที่ทำให้รู้สึกสตั๊นมากคืองานภาพ หนังถ่ายทำในหลาย ๆ เมืองของฝรั่งเศส แล้วหามุมมาโชว์ในระดับ “โคตรสวย” ท้องฟ้าสวยงาม เทือกเขาเขียวขจี ต้นไม้ใหญ่ออกดอกเต็มต้น เห็นแล้วน่าไปวิ่งเล่นเหลือเกิน ดนตรีประกอบที่ทรงพลังด้วยเครื่องสาย เครื่องเป่าวงใหญ่ แล้วมาครบในฉากที่กระตุ้นอารมณ์ ยิ่งพาอารมณ์เตลิดเปิดเปิงไปใหญ่โต 2 ตัวละครนำนี่ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์มาก มาเลม ปาควิน เด็กชายวัย 10 ขวบที่มารับบท “เรมิ” เคยแสดงบทสมทบเล็ก ๆ ในทีวีซีรีส์มาแค่ตอนเดียว แล้วเขาคือผู้ชนะจากคู่แข่งในบทนี้กว่า 400 คน ด้วยหน้าตาที่ใสซื่อ ดูมีความไร้เดียงสาในวัย 10 ขวบ มองได้ทั้งเป็นเด็กจากตระกูลผู้ดีและเด็กชาวไร่ และการรับตัวเอกในหนังครั้งแรกก็ถือว่าหนูน้อยมาเลมนั้นเก่งมาก

แดเนียล ออเตล ในบทวิเทลิส นี่คือหัวใจหลักของเรื่องเลย ผู้เปรียบเสมือนพ่อของเรมิ เป็นทั้งครู ผู้ปกครอง และพ่อผู้เปี่ยมด้วยความรัก ห่วงใย และหวังดี แม้เรมิจะเรียกเขาว่านาย แต่วิเทลิสไม่เคยปฏิบัติกับเรมิเหมือนผู้อยู่เบื้องล่างเลย หลาย ๆ มุมของแดเนียลชวนให้คิดถึงเดอนีโรเอามาก ๆ และ 2 ตัวที่จะทำให้คนดูรักมาก ๆ ก็คือ “คาปิ” เจ้าหมาดำแสนรู้ของวิเทลิส ที่แสดงอะไรได้มากมาย หมาที่มาแสดงเป็นคาปิเป็นหมาจากคณะละครสัตว์ตัวจริงครับ และที่ขอบคุณผู้กำกับอังตวนมาก ๆ ที่เขาแปลงเนื้อหาจากต้นฉบับที่เขียนไว้ว่าคาปิตาย แต่เวอร์ชั่นนี้คาปิไม่ตาย ไม่งั้นน้ำตาแตกตายแน่ ๆ และอีกตัวก็คือเจ้าลิงจิ๋วชื่อ “เจ้าแสนรู้” ที่ไม่เห็นแสดงอะไรเลยนะ แต่หน้าตาที่โอเวอร์แอ็คติ้งของเจ้าจ๋อที่ตื่นเต้นกับทุกสถานการณ์ก็ชวนให้ยิ้มกับหน้าของมันได้ เวลากระโดดเกาะหลัง”คาปิ”แล้ววิ่งเล่นกัน น่ารักมาก ที่อยากจะพูดถึงอีกรายคือ อัลเบน มาซซอง เด็กสาวที่รับบทเป็น”ลิซ”เพื่อนสาวของเรมิ เป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าสวยที่สุดที่เคยเห็นมาล่ะ และที่น่าเซอร์ไพรส์ก็คือ เวอร์จิเนีย ลีโดเยน นางเอกฝรั่งเศสที่เคยรับบทนำใน The Beach (2000) คู่กับลีโอนาโด ดีคาปริโอ ในเรื่องนี้เธอมารับบทแม่ของลิซ ในภาพลักษณ์ที่จำไม่ได้เลย ดาราหญิงนี่ไปเร็วกว่าดาราชายมากจริง ๆ

เป็นหนังที่มาเงียบ ๆ แต่เพียบด้วยคุณค่าเกินตัว ไม่อยากให้พลาดกันครับ หนังมีให้ครบทั้งความสนุกทางด้านเนื้อหา งานสร้างที่เห็นชัดว่าผู้สร้างพิถีพิถันตั้งใจ ไม่ให้กระทบคุณค่าของวรรณกรรมคลาสสิค และถ่ายทอดคุณความดีในเนื้อเรื่องออกมาให้เข้าใจได้เป็นหนังที่พ่อแม่สนุกไปกับหนังได้ และลูก ๆ ก็ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากข้อคิดคำสอนที่หนังสื่อผ่านตัวเรมิ ได้เห็นความเป็นเด็กซื่อสัตย์ กตัญญูของเรมิ ที่ไม่เคยลืมบุญคุณของแม่เลี้ยง การเป็นเด็กกล้าหาญและกล้าไล่ตามความฝันของตัวเอง ครบถ้วนทุกอารมณ์ มีทั้งปริศนาถึงตัวตนที่แท้จริงของเรมิ ความน่ารักของ หมา และ ลิง ความสวยงามของเมืองฝรั่งเศส ดนตรีที่ไพเราะ ความซาบซึ้งที่มาจากความสัมพันธ์ของวิเทลิสและเรมิ มีฉากซึ้ง ๆ ที่อาจทำให้คนดูบ่อน้ำตาตื้นได้เสียน้ำตาได้ แต่เทียบกันแล้วหนังมีฉากให้เรายิ้มได้มากกว่า และจบด้วยความอิ่มเอมปลาบปลื้มครับ ดู Remi Nobody’s Boy แล้วเข้าใจลึกซึ้งครับว่าทำไมวรรณกรรมเรื่องนี้ถึงถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาได้ถึง 141 ปี