Our score
4.9Step Up: Year of The Dance
จุดเด่น
- ได้ดูหนังเต้นระดับโลกภาคเอเชียกับเขาบ้าง
- นักแสดงเล่นกันโอเคล่ะ ไม่ได้แย่นะ
จุดสังเกต
- บทง่อย ง่อยมาก
- ไม่มีความแปลกใหม่เลยยยยย
- พากย์อังกฤษมันเอาฮาใช่มั้ย ขอเสียงจีนเถอะนะ
-
ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
4.0
-
นักแสดง
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
5.5
-
ความสนุก
4.0
-
ความคุ้มค่า
4.0
เรื่องย่อ
Step Up: Year of The Dance – สเต็ปโดนใจ หัวใจโดนเธอ 6 ที่ปล่อยออกมาแล้วนั้น เผยให้เห็นถึงภาพลักษณ์ใหม่ที่แปลกตา นั่นคือใช้นักแสดงหลักเป็นชาวเอเชียทั้งหมด แต่ยังคงมีเสน่ห์ตามสไตล์ Step Up เอาไว้ คือความพร้อมเพรียง แข็งแรงในท่าเต้น และเพลงสุดมันส์ที่ไม่ว่าใครได้ดูก็ต้องอยากจะโยกตามอย่างแน่นอน
การกลับมาของหนังตระกูลขาแดนซ์เบอร์หนึ่งของโลกคงไม่มีใครไม่รู้จัก Step Up โดยครั้งนี้นับเป็นภาคหลักภาคที่ 6 แล้ว โดยยังคงเป็นผลงานสร้างของสตูดิโอผู้สร้างเดิม Summit Entertainment แต่เพิ่มเติมคือได้มาจับมือกับบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน นั่นคือ Yue Hua Entertainment ซึ่งสำหรับคอเกาหลีน่าจะรู้จักในนามบริษัทที่สร้างวงไอดอลเกาหลีมาแล้วมากมายไม่ว่าจะเป็น วง Cosmic Girl (WJSN), Everglow หรือแม้แต่การปั้น ชเว เยนา แห่งวง IZ*ONE ด้วย
โดยครั้งนี้ยังได้ผู้กำกับ รอน หยวน มากำกับหนังสเกลใหญ่ครั้งแรก โดยเขาเป็นทั้งนักแสดงและสตั๊นท์แมนที่มีผลงานทางฝั่งฮอลลีวู้ดมาแล้วมากมาย ส่วนความสนใจใหญ่ ๆ ด้านทีมงาน น่าจะเป็นนักร้องสาว เมิง เหม่ยฉี แห่งวง Cosmic Girl (WJSN) ที่มารับบทนำ ในฐานะดอกไม้หนึ่งเดียวกลางสงครามมิตรภาพระหว่างชายหนุ่ม ซึ่งยังเป็นที่มาของชื่อรีวิวนี้ด้วย คือระหว่างดูเราจะได้แต่สบถด้วยความฮาจากทั้งความแปลก ๆ ของทั้งบทและการกระทำตัวละครต่าง ๆ โดยเฉพาะ เสี่ยวเฟย ตัวละครของเหม่ยฉีนี่ล่ะ
เรื่องราวจับศูนย์กลางอยู่ที่เรื่องราว 3 ตัวละคร โดยเริ่มมาที่ เถี่ยโหยว ชายยากจนที่รักการเต้น เขาและเถี่ยเจีย พี่ชาย กับน้องสาวไม่แท้อย่างเสี่ยวเฟย ได้ร่วมกันใช้การเต้นสร้างตัวขึ้นมาจนกระทั่งครั้งหนึ่ง เหตุทะเลาะวิวาทในผับทำให้เถี่ยวโหยวติดคุก และเมื่อเขาออกมาจากคุกก็ยังมองหาอนาคตไม่เจอ อีกด้านหนุ่มลูกเศรษฐีที่ถูกเล่นไม่ซื่อในวงการเต้นต้องการสร้างทีมกลับไปล้างแค้นทีมอันดับ 1 ของจีน ด้วยการเอาชนะแข่งเต้นเพื่อคว้าสิทธิ์ได้ไปพบทีมแฟนธอม ทีมอันดับ 1 ของโลกจากอเมริกา นั่นจึงเป็นที่มาให้เขาต้องเข้าหาเสี่ยวเฟย เพื่อจูงใจเถี่ยโหยวให้มาร่วมทีมกับเขา โดยไม่รู้เลยว่าลึก ๆ เถี่ยโหยวมีใจให้น้องสาวไม่แท้คนนี้มาตลอด
ความติ๊ดชึ่งของหนังมีตั้งแต่ลูกเศรษฐีที่โดนถีบจนกระเด็นแต่กรรมการมองเฉย แถมยังให้อีกคนที่โกงหน้าด้าน ๆ ชนะเฉ๊ย แล้วอีลูกเศรษฐีก็ไม่วีโต้ไรด้วย ติ๊ดชึ่งต่อมาระหว่างขาเฮียแกเดี้ยงเดินขาลากเลยนะ แต่แกอยากโชว์เถี่ยโหยวว่าแกก็เต้นเก่งนะเฮ้ย พี่แกก็ทิ้งไม้เท้าแล้วเต้นเป็นไฟอย่างกะไมเคิล แจ็คสันเลย ติ๊ดชึ่งถัดไปนังเสี่ยวเฟยโดนเขาหยอดหน่อยก็ไปสนิทอย่างไว มีเอายาหม่องจีนไปให้ลูกเศรษฐีบอกใช้นี่สิ 2-3 วันก็หายแล้ว และไอ้การแพทย์สมัยใหม่ที่บำบัดเฮียแกมานานก็แพ้พ่ายกับยาหม่องจีนบ้าน ๆ เพราะซีนถัดมา มันเดินปร๋อเลย…น้ำหมักป้าเช็ง หรือน้ำมันกัญชาสกัดป่าวเนี่ย
และชีเสี่ยวเฟยนี่ก็ชะนีลำไยขั้นสุด เรียกว่าบทด้านน่ารำคาญ นิยายหลังข่าวนี่ยกให้เธอได้เลย และซีนที่น่าจดจำมาก ๆ อีกซีนคือการสั่งเสียของตัวละครหนึ่งในเรื่อง ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงโดนแทงท้องยิงอก แต่เรื่องนี้มีดบาดขาก็ตายแล้ว รู้ล่ะว่ามันเป็นไปได้หากตัดเข้าเส้นเลือดใหญ่โคนขา แต่ด้านภาพในหนังมันดูอ่อนด๋อยจริง ๆ เมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นที่แบบปางตายกว่านี้เยอะ ก็ได้แต่ อิหยังวะ และเรื่องก็เคลื่อนไปแบบเรียบง่ายตามสูตรละครหลังข่าว แล้วเร่งไวแบบไม่สนใจจังหวะการเล่าในช่วงกลางส่งเข้าท้าย แบบว่าแอร์ไทม์ใกล้หมด จนทั้งไม่อิน ทั้งนึกเล่นในใจ งั้นเอ็งให้หนังมันจบ ๆ เลยเหอะอย่าแข่งเยอะเลย ซึ่งมันก็ดันเอาจริงด้วย แข่งกัน 2-3 นัดเข้าชิงเลยจ้า นี่ชิงแชมป์โลกหรือชิงแชมป์ อบต. ฮะ 555
เรื่องบทอาจง่อย แต่ว่าด้วยโปรดักชั่นนั้นก็ถือว่าไม่ได้ด้อยหรือล้ำไปกว่าภาคเก่า ๆ นัก ออกไปทางจีน ๆ เสียมาก อาจด้วยทีมงานแทบทั้งหมดคือฝั่งจีน ส่วนการออกแบบท่าเต้นนั้นก็สวยงามและตื่นตากลาง ๆ ออกไปทางพอดูได้ หากแต่ขาดนวัตกรรมให้ร้องอื้อหืออย่างภาคที่ผ่าน ๆ มาอย่างพวก แฟลชม็อบ หรือการใช้ท่าหุ่นยนต์ ที่กลายเป็นภาพจำของหนังบางภาคได้ แต่กับหนังภาคนี้กลับโชว์สิ่งที่เรียกว่ากังฟูแดนซ์ ที่ผสมผสานระหว่างท่ากังฟูกับการเต้น ซึ่งคงประทับชาวจีนล่ะ ลองนึกภาพไทยแลนด์ก็อตทาเล้นต์ที่มีคนเอารำไทยประยุกต์กับการเต้นสมัยใหม่มันคงน่าสนใจ แต่กับคนนอกวัฒนธรรมที่มองท่าต่าง ๆ ก็เหมือนกันไปหมดมันไม่ว้าวอย่างแรงเลย
ส่วนที่ทำลายหนังหนักหน่วงสุด ๆ คือโปรดักชั่น 2 ชาตินี่ล่ะ เพราะตอนถ่ายหนังพูดจีนกัน แต่พอนำมาฉายทั่วโลกมีการพากย์อังกฤษทับ โดยเลือกคนพากย์มาใส่อารมณ์ได้โคตรนิ่งเลย ก็อาจเหมาะกับการฝึกฟังภาษาล่ะมั้ง เพราะเรียบมากฟังชัดมาก เรียกว่าทำลายอรรถรสของการรับชมหนังไปอักโข
สรุปก็เป็นหนังเต้นที่คงเหมาะกับคนรักชอบการเต้น และอยากเห็นแบบฉบับเอเชียกับเขาสักที แต่หาข้อดีอื่น ๆ ยากจัง
เต้นแบทเทิลยังต้องมีออดิชั่น แต่จองตั๋วหนังนั้นแค่กดที่รูปก็ได้เลย