[รีวิว] Fast and Furious : Hobbs & Shaw – หนัง(ไม่)ฟาสต์ พลอต (ลอก) มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล
Our score
6.5

Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw

จุดเด่น

  1. เป็นหนังแอ็คชั่นดูคลายเครียดได้
  2. วาเนสซ่า เคอร์บี้สวยมาก
  3. ทีมนักแสดงทำให้หนังน่าติดตาม

จุดสังเกต

  1. หนังลอกพลอตมิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล มาโต้งๆไปหน่อย
  2. การหยิบจับฉากเด่นหนังดังต่างๆทำให้หนังไม่น่าจดจำ
  3. ตัวบทยังไม่ทำให้เราคล้อยตาม ลุ้น เอาใจช่วยตัวละครนัก
  • ความสมบูรณ์ของบท

    6.5

  • คุณภาพนักแสดง

    6.5

  • คุณภาพงานสร้าง

    6.5

  • ความสนุก

    6.5

  • ความคุ้มค่าตั๋ว

    6.5

หลังแฮตตี้ (วาเนสซ่า เคอร์บี) สายลับเอ็มไอซิกส์ ถูกซ้อนแผนจารกรรมไวรัสมรณะจนเธอต้องฉีดมันเข้าเส้นเลือดและหนีการตามล่าจนตกเป็นเป้าหมายสำคัญที่ทางการได้ตามตัว เดคคาร์ด ชอว์ (เจสัน สเตแธม) พี่ชายตัวป่วน มาร่วมทีมกับ ลุค ฮอบบส์ (ดเวยน์ จอห์นสัน) คู่ปรับมหากาฬเพื่อช่วยเหลือน้องสาวของเขาจาก บริกซ์ตัน (ไอดริส อัลบา) นักรบดัดแปลงพันธุกรรมสุดโหด ก่อนเธอและไวรัสจะทำลายอนาคตของมวลมนุษยชาติจนสิ้นซาก

Play video

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex

จากกรณีตีกันทางอินสตาแกรมจนดราม่าระหว่าง วิน ดีเซล กับ ดเวย์น จอห์นสัน ก็ทำให้ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอหัวใส เข็นหนังในจักรวาลฟาสต์เปิดปฐมฤกษ์ด้วย Hobbs & Shaw โดยดึงคาแรกเตอร์โจรและตำรวจปากจัดให้มาปฏิบัติภารกิจร่วมกันเพื่อตัดปัญหาดาราเกาเหลา และถือโอกาสเปิดช่องทางทำกินใหม่ให้หนังตระกูลฟาสต์เสียเลยโดยดึง เดวิด ลีตช์ ผู้กำกับหนังแอ็กชันมาแรงจาก John Wick1, Deadpool2 และ Atomic Blonde มากุมบังเหียนศึกน้ำลายและกำปั้นลุ่นๆของ 2 เหม่งปากจัดโดยยังได้ คริส มอร์แกน มาเขียนบทให้เหมือนหนังฟาสต์ทุกภาค ซึ่งนอกจากความเวอร์วังที่ติดมาจากหนังตระกูลฟาสต์แล้วมันยังเล่นกับความโม้ระเบิดระดับหนังไซไฟยังต้องยอมอีกด้วย

ทว่าผลลัพธ์ของการขยายจักรวาลครั้งนี้นอกจากเสน่ห์ของนักแสดงนำแล้ว เราแทบจะไม่พบความสนุกแบบหนังตระกูลฟาสต์เคยเสิร์ฟให้เราเท่าไหร่ แม้ว่าจะมีการกล่าวเรื่องครอบครัวต้องช่วยเหลือกันบ้างแต่ก็ผิวเผินเหลือทน และนอกจากการตัดฉากแข่งรถออกแล้วแทนที่ด้วยพลอตหนังสายลับโคตรโม้แบบ มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล แทน- แต่ก็นะลำพังแค่พลอตไวรัสถูกขโมยแล้วนางเอกต้องฉีดเข้าแขนตัวเองนี่ก็นึกถึงพลอต M:I2 (2000) กันโต้งๆแล้วหนังดันใส่ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่า ฉากตบตาศัตรู จนเหลือแค่นกพิราบบินนี่แหละที่ไม่ได้ใส่มา – จนงานอ้างอิงกลายเป็นลอกการบ้านไปซะงั้น มิหนำซ้ำสิ่งที่พาให้หลุดโลกหนักเลยคือการใส่ บริกซ์ตัน นักรบดัดแปลงพันธุกรรมซึ่งมองเผินๆก็เท่ดีแต่รถมอเตอร์ไซค์พี่แกนี่แหละที่เวอร์จนมันเกือบจะแปลงร่างเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์อยู่มะรอมมะร่อ ซึ่งผลลัพธ์ของการคิดพลอตที่หยิบนี่ผสมนั่นเลยทำให้ตัวหนังไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ ซึ่งก็น่าเสียดายอีกเหมือนกัน เพราะนอกจากต้องจำทนดูหนังที่ไปลอกพลอต ลอกภาพจำชาวบ้านแถมเนื้อเรื่องที่แทบเดาได้ตลอดแล้ว ตรรกะของตัวละครที่เคยปูมาตั้งแต่ Fast 5 อย่างลุค ฮอบบส์ จะต้องสุขุมเยือกเย็น มีเหตุผลก็ถูกทำให้กลายเป็นกล้ามใหญ่ไร้สมอง ส่วนเดคคาร์ด ชอว์ ที่ดูโหดจัดจาก Fast7 ก็ดันดูติงต๊องแบบไม่ค่อยมีเหตุผล มิหนำซ้ำพอทั้งคู่ร่วมซีนกันเรากลับไม่รู้สึกถึงเคมีที่ทั้งคู่จะมีร่วมกันนอกจากบทที่ให้ปะทะคารมกันยืดยาวที่ขำบ้างชวนหาวบ้างแล้ว หนังก็ดันไม่ใส่จุดอ่อนให้เราได้ลุ้นหรือเห็นใจพวกเขาเท่าที่ควรกลับให้ทั้งคู่ชนะตลอดจนแทบไม่ต้องเอาใจช่วยใดๆ ดังนั้นเราจึงต้องหวังกับการดีไซน์ฉากบู๊แล้วล่ะว่าจะช่วยให้หนังดูสนุกหรือน่าตื่นตาตื่นใจขึ้นบ้างไหม

แน่นอนครับว่าการที่เราดูหนังแอ็กชันคงต้องทิ้งเหตุผลไว้บ้านแล้วไปรับความมันอย่างเดียว ซึ่งพอเราได้ลองสวมวิญญาณคอหนังแอ็คชั่นเพื่อดูและหวังว่าจะลุ้นกับฉากบู๊ต่างๆ ผลลัพธ์เหรอครับ เรากลับได้ดูหนังแอ็กชันที่มีการโคโรกราฟได้ขี้เกียจมาก ถามอย่างว่าใครไม่เคยเห็นฉากขับรถไล่ล่าใครไม่เคยเห็นซีนขับรถลอดรถบรรทุกหรือซีนพะบู๊ดวลหมัดเตะต่อยบ้าง..ก็เคยเห็นมาทั้งนั้นแหละ และยิ่งในหนังคือแทบหาความสดใหม่ในการออกแบบไม่เจอยิ่งดูก็ยิ่งเฟลนะ ยิ่งการกำกับคิวบู๊ที่เราคาดหวังมากๆมาจบที่ก่ารเตะต่อยแบบนัดคิวถ่าย คือเราแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่แทนที่จะรู้สึกว่ามันเจ๋งหรือเท่ กลับรู้สึุกว่าเขาเอานักแสดงระดับนี้มาทำอะไรกันปัญญาอ่อนขนาดนี้แทน แถมฉากแอ็กชันเวอร์ๆส่วนใหญ่เรายังจำได้ชัดๆเลยว่าถ่ายหน้าบลูสกรีนความสดจึงหมดไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งก็ถือว่า เดวิด ลีตช์ เองที่เคยแจ้งเกิดจาก John Wick ดูมือตกและทำผลงานได้มือตกไปพอควร แต่ยังดีที่หนังได้วาเนสซ่า เคอร์บี ในบท แฮดดี้ ที่เอาเสน่ห์ความสวยของเธอมาผนวกในฉากบู๊จนทำให้ตัวหนังยังมีฉากแอ็กชันที่น่ามองอยู่บ้างครับ

พ้นจากเสน่ห์ของวาเนสซ่า เคอร์บีที่เราไม่รู้ว่าจะเลิกชื่นชมความสวยของเธอยังไง ซึ่งถือว่าทีมแคสติ้งตาถึงดึงเธอมาจาก Mission Impossible : Fallout (2018) (คือไหนๆลอกพลอตมาแล้วก็เอานักแสดงมาด้วยแล้วกัน 55) เพราะบทแฮตตี้ของเคอร์บี้เป็นตัวละครเดียวที่คนดูพอจะเห็นอกเห็นใจและร่วมลุ้นกับชะตากรรมของเธอ ส่วน เจสัน สเตแธม กับ ดเวย์น จอหฺ์นสัน หากมองในแง่การทำหน้าที่เอ็นเตอร์เทนแล้วก็ถือว่าไม่บกพร่องนักเรายังจะได้หัวเราะและยิ้มเวลาทั้งคู่ร่วมจอกันอยู่แม้ว่าบทสนทนาบางช่วงจะยืดเยื้อไปหน่อยก็ตาม ส่วน ไอดริส อัลบา ก็ทำให้บริกซ์ตันเป็นตัวละครผู้ร้ายที่ดูน่ากลัวและมีเสน่ห์ไม่น้อย จนเราอาจบอกได้เลยว่าพาร์ตนักแสดงนี่แหละที่ช่วยให้เราทนกับความไม่เข้ากันของพลอตและการดำเนินเรื่องอันสะเปะสะปะไปมาได้ตลอดรอดฝั่ง  แถมยังใส่นักแสดงจอมขโมยซีนทั้ง เควิน ฮาร์ต และ ไรอัน เรย์โนลด์ ที่โผล่มาเอาฮาแม้ไม่ค่อยเข้ากับโทนหนังโดยรวมแต่ก็ยังถือว่าสร้างความบันเทิงได้ดีทีเดียว

สรุปแล้วหากมองมันแฟร์ๆในฐานะหนังแอ็กชัน ตลกๆ ไม่ต้องอ้างอิงกับหนังตระกูลฟาสต์ฺอะไรก็ยังถือว่าหนังให้ความบันเทิงได้เต็มที่นะครับเป็น 2 ชั่วโมง 15 นาทีที่บันเทิงที่ทั้ง ตูมตาม และพระเอกข่มกันน้ำลายแตกฟอง แบบแทบไม่ว่างเว้นเลย แม้พลอตไม่ค่อยใหม่และฉากบู๊ไม่น่าตื่นตานักแต่ก็ถือว่าพอพาเราออกจากโลกความจริงได้อย่างสำเริงอารมณ์ทีเดียว ส่วนฉากหลังเอนด์เครดิต 2 ตัวก็น่าสนใจและอาจขยายจักรวาลหนังภาคแยกไปได้อีก

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส