Our score
8.5Brightburn
จุดเด่น
- โหด สยอง กดดัน ได้ครบตามทางสยองขวัญ
- พล็อตแปลก น่าสนใจน่าติดตาม
- มีอีสเตอร์สำหรับแฟนบอย
- ขยายเรื่องราวได้สนุก ควรมีภาคต่อ
- โพรดักชันเนียนตา
จุดสังเกต
- หนังเน้นบันเทิงและขาดมิติเชิงลึกในตัวละคร
- มีหลุดซีจีไม่เนี้ยบเล็กน้อย
- ฉายหลังอเมริกานานเกินไป จนคนรอหมดไฟ
-
คุณภาพงานสร้าง
8.5
-
คุณภาพนักแสดง
8.0
-
ตรรกะความสมบูรณ์ของบท
8.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
9.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
9.0
เรื่องย่อ จะเป็นอย่างไรหากเด็กจากโลกใบอื่นมาเยือนโลกด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด แต่เขาไม่ได้มาเพื่อเป็นฮีโรแก่มนุษยชาติ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นยิ่งกว่าความเลวร้ายที่เราสามารถคาดคิดได้ถึง ด้วย Brightburn จากวิสัยทัศน์ของผู้สร้าง Guardians of the Galaxy และ Slither ที่จะมานำเสนอความสดใหม่และล้มแนวทางซูเปอร์ฮโร่เก่า ๆ ด้วยการเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรสยองขวัญ
ผลงานการสร้างสรรค์ของ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ที่ทุกวันนี้ทุกคนคงรู้จักในบทบาทผู้กำกับแถวหน้าของโลกฮีโรจากหนังมาร์เวล Guardians of the Galaxy และยังเป็นคนเดียวที่ได้ข้ามฝั่งไปทำหนังฟากดีซีไปพร้อมกันกับ The Suicide Squad เวอร์ชันปี 2021 ซึ่งในปีเดียวกันนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาของหนัง Guardians of the Galaxy Vol. 3 ด้วยเช่นกัน ก็จะกลายเป็นว่าปี 2021 เขาจะเป็นผู้กำกับคนแรกที่มีผลงานหนังทั้งฝั่งมาร์เวลและดีซีออกฉายภายในปีเดียวกันด้วย และด้วยบารมีระดับนี้จึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถผลักดันโพรเจกต์ส่วนตัวออกมาได้ง่ายขึ้นในฐานะโพรดิวเซอร์
และครั้งนี้เขาจึงได้นำไอเดียว่า สมมติหากทารกน้อย คาร์ล เอล ในเรื่องราวของ Superman หรือ Man of Steel ไม่ได้โตมาแล้วมีจิตใจบริสุทธิ์ล่ะ โดยเขาได้มอบหน้าที่เขียนบทให้น้องชายแท้ ๆ อย่าง ไบรอัน กันน์ (Brian Gunn) และลูกพี่ลูกน้องอย่าง มาร์ก กันน์ (Mark Gunn) ทำหน้าที่เขียนบท ทั้งยังดันเพื่อนสนิทที่เคยมาทำเอ็มวี Inferno จากหนัง Guardians of the Galaxy อย่าง เดวิด ยาโรเวสกี (David Yarovesky) รับหน้าที่กำกับหนังใหญ่ หลังจากมีผลงานเข้าตาจากหนังซอมบี้ไวรัสเรื่อง The Hive (2014) มาแล้ว ซึ่งก็ตอกย้ำฐานะป๋ากันน์ป๋าดันตัวจริง เพราะก่อนนี้เฮียก็ดันให้น้องชายอีกคนอย่าง ฌอน กันน์ (Sean Gunn) รับบท เครกลิน หนึ่งในสมาชิกโจรสลัดอวกาศของยอนดูมาแล้ว เรียกว่าอุตสาหกรรมครอบครัวจริง ๆ นี่ยังไม่นับว่ากันน์ไปทาบทามดาราใหญ่อย่าง อลิซาเบธ แบงส์ (Elizabeth Banks) ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่หนัง Slither (2006) กลับมาร่วมงานและรับบทนำสำคัญอย่างแม่ของเด็กชายอสูรในเรื่องด้วย
ต้องยอมรับว่าหนังดึงดูดเราได้ตั้งแต่พล็อตที่ปล่อยยั่วมาแต่แรก และเมื่อดูตัวหนังจริงก็ต้องฟันเฟิร์มอีกรอบว่าหนังไม่ได้ลดทอนความคาดหวังของเราให้ร่อยหรอเลย เพราะหนังคุมบรรยากาศได้อยู่หมัดตั้งแต่ แบรนดอน ไบรเยอร์ (แจ๊กสัน เอ. ดูนน์ – Jackson A. Dunn) ทารกน้อยผู้มาพร้อมยานอวกาศลึกลับที่โตขึ้นมาอย่างเรียบง่าย จืดชืด ไม่โดดเด่น ในย่านชนบทอย่างเมืองไบรท์เบิร์น (อันเป็นชื่อเรื่อง ราวกับจะล้อเลียนซีรีส์ซูเปอร์แมนอย่าง Smallville) จนเขามักถูกล้อเลียนย่ำยีจากเพื่อนที่โรงเรียน จนวันหนึ่งที่เขาพบว่าตัวเองแตกต่างและมีพลังเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนพสุธา เรื่องอะไรที่จะต้องเป็นคนธรรมดาที่ยอมถูกกดขี่อีกล่ะ แต่หนังก็ไม่ได้เล่าไปในแนวหนังล้างแค้นแต่อย่างใด กลับค่อย ๆ ให้เราเห็นพัฒนาการแบบขึ้นหลังเสือแล้วยากที่จะลง ด้วยสถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียวที่ลุกลามให้เด็กชายต้องเอาใบบัวมาปิดศพช้างอยู่ร่ำไป จนในที่สุดศีลธรรมจรรยาในใจก็เสื่อมคลายหายไป แม้แต่ความรักของพ่อแม่อย่าง ไคลย์ และโทรี (เดวิด เดนแมน – David Denman และ อลิซาเบธ แบงส์ ) ไม่อาจส่องผ่านหัวใจอันเลือดเย็นของเขาไปได้
เราจึงได้ลุ้นแทบหยุดหายใจแทบตลอดเรื่องว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเจ้าเด็กน้อยคนนี้มีพลังชนิดที่ว่าเอามือแหย่ใบพัดเครื่องตัดหญ้าพังบิดงอได้ (นับประสาอะไรกับร่างกายคน) บินความเร็วสูงทะลุบ้านได้ (นับประสาอะไรกับร่างกายคน) ยิงเลเซอร์จากตาตัดประตูเหล็กกล้า (นับประสาอะไรกับร่างกายของคน) คือมีความอันตรายขึ้นสุดในแบบที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้เลย เป็นปัจจัยในการคุมบรรยากาศสยองขวัญสั่นประสาทผู้ชมได้ดีเยี่ยมสุด คือไม่ว่าจะเป็นกล่มผู้ชมที่โหยหาหนังฮีโรที่แตกต่างเพราะเอียนหนังขนบสูตรสำเร็จ หรือผู้ชมที่ชื่นชอบรสสยองขวัญ เรื่องนี้ได้บรรยากาศเต็ม ขนาดว่ารู้อยู่แล้วก็เถอะว่าจะต้องเจอหนังประเภทไหน ตรงจุดนี้คือบทพิสูจน์สำคัญว่า เดวิด ยาโรเวสกี เป็นผู้กำกับที่มีฝีมือน่าจับตามองต่อไปอีกคนหนึ่ง
ข้อด้อยของหนังคงมีเรื่องของการเดินเรื่องที่รวดเร็วบางจุด ที่ทำให้พัฒนาการอารมณ์ของเจ้าหนูปีศาจนี่ดูโดดข้ามไปขั่วร้ายไวมาก และฉากซีจีที่มีรอยโหว่ให้เห็นความไม่เนี้ยบบ้างในฉากท้าย ๆ แต่โดยรวมหนังเก็บรายละเอียดด้านโพรดักชันดีมาก ยิ่งพวกฉากศพ หรือฉากแหวะก้อนเนื้อก้อนเลือดกระเซ็นสาดนี่โหดได้ใจมาก คือโดยรวมแทบไม่ได้อยากติอะไรล่ะเพราะมองว่าเป็นหนังที่รู้ประมาณตนว่าเป็นอะไรและไม่ได้พยายามเป็นเกินสิ่งที่ตัวเองเป็น ถ้าใครจะไปคาดหวังแล้วตำหนิในเรื่องการลงมิติด้านลึกของจิตใจตัวละครที่ดูอ่อนด้อยอะไรนั่น เราก็เข้าใจเขาได้นะ แต่มันก็ไม่ใช่จุดควรตำหนิหนังร้ายแรงเพราะหนังไม่ได้ประกาศตนว่าจะเป็นดรามาจิตวิทยาแบบ The Joker ตั้งแต่แรกแล้ว มันคือหนังล้อยั่วซูเปอร์แมนในฉบับด้านมืดที่เน้นมันสะใจเข้าว่าอยู่แล้ว
ในตอนท้ายหนังมีฉากข่าวที่มีนักวิชาการเล่นโดย ไมเคิล รูกเกอร์ (Michael Rooker) หรือ ยอนดู จาก Guardians of the Galaxy มาพูดถึงตำนานเมืองอื่น ๆ นอกจากคลิปคนที่ลอยอยู่บนฟ้าระหว่างเกิดมหันตภัยต่าง ๆ ที่เหมือนจะชงบทให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่ เจ้าหนูแบรนดอนเท่านั้น ก็เป็นการล้อทีมจัสติกลีกแบบโคตรจงใจ โดยจะมีตัวละครซูเปอร์วิลเลี่ยนตัวไหนให้ทำต่อภาค 2 ได้บ้างนั้น ต้องขอให้นั่งชมดี ๆ เลยครับ ลุ้นให้มีภาคต่อไว ๆ สุด ๆ เลย หวังว่าจะฉีกแนวจากซีรีส์ใกล้เคียงกันอย่าง The Boys ซึ่งกลายเป็นคู่เปรียบมวยไปแล้วได้สนุกกว่าด้วย รอ ๆ ๆ ๆ ๆ
ไบรท์เบิร์นบินไวอย่างกับอสูร ก็ยังสู้เมเจอร์จองตั๋วไวแค่กดที่รูปด้านล่างมิได้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส