Our score
9.4IT Chapter 2
จุดเด่น
- ครบรสที่มีทุกอารมณ์ทั้งสยองก็สุด ขำก็สุด ซึ้งก็สุด
- รสนิยมที่มีคลาสสูงด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก
- ความสร้างสรรค์ในการจินตนาการความกลัวออกมาอย่างน่าทึ่ง
- ตกผลึกเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ในช่วงจบทำให้เราอินและหลงรักหนังได้มาก
- การแสดงที่น่าประทับใจ
จุดสังเกต
- หนังยาวพอสมควรเกือบ 3 ชั่วโมง
- บางช่วงก็รุนแรงต่อจิตใจมากพอสมควร
-
คุณภาพงานสร้าง
9.5
-
คุณภาพนักแสดง
9.5
-
ความสมบูรณ์ของบท
9.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
9.5
-
คุ้มค่าเวลาในการรับชม
9.5
เรื่องย่อ ตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี “It: Chapter Two – อิท โผล่จากนรก 2” จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในวัยเด็ก ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก และนี่อาจถึงเวลาที่ต้องสะสางและจบ “มัน” เสียที
นี่คือผลงานหนังภาคต่อจาก IT (2017) จากฝีมือผู้กำกับคนเดิมอย่าง แอนดี้ มุสชีเอตติ (Andy Muschietti) ที่ทุกคนรอคอย เพราะภาคแรกก็จัดว่าเป็นหนังขวัญใจมหาชน สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมคำชมว่อนไปหมด ด้วยการดัดแปลงนิยายเรื่องโบว์แดงของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ราชาสยองขวัญแห่งยุคออกมาได้อย่างมีคลาส มีรสนิยม แถมยังทำได้บันเทิงเหมาะกับผู้ชมหลากหลายแนวด้วย
ในภาคจบนี้ดำเนินเรื่องแบบไทม์สกิปมาอีก 27 ปีถัดมา โดยใครที่ไม่ได้ดูภาคแรกมาก็ยังพอรู้เรื่องนะเพราะหนังก็อิงจากปัจจุบันที่เหล่าตัวละครโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วมากกว่า และแม้มีการย้อนอดีตไปช่วงวัยเด็กก็เป็นช่วงเวลาหลังจากเหตุการณ์ในหนังภาคแรกด้วย ก็เรียกว่าเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่ที่บังเอิญถูกชวนมาดู และยังทำให้ผู้ชมหน้าเก่าจากภาคแรกรู้สึกเรื่องเดินไปข้างหน้าไม่ซ้ำเหตุการณ์จากภาคเดิมให้เบื่อด้วย ทั้งยังใช้เหตุการณ์ปริศนาที่ทุกตัวละครต่างถูกทำให้ลืมเลือนไปแล้วในช่วงซัมเมอร์หลังจากชนะอิทมาได้ มาเป็นกิมมิกสำคัญในการหาหนทางชนะอิทอีกครั้ง นับเป็นความฉลาดในการเขียนบทที่ดี และยังดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการเล่าเรื่องในหนังสือและฉบับมินิซีรีส์ที่เคยทำในลักษณะตัดสลับเรื่องในอดีตกับปัจจุบันได้อย่างดีด้วย
ความคารวะอย่างถูกที่ถูกทาง แบบไม่ตรงจนน่าเบื่อแต่ให้อารมณ์การดัดแปลงที่ไม่ดูถูกคนดูนี้ ก็ยังรวมถึงการได้รับเชิญมาร่วมเล่นโดยเจ้าของนิยายอย่าง สตีเฟน คิง ในฉากที่ถือว่าสมน้ำสมเนื้อไม่ได้แค่เดินผ่าน ซึ่งอาจมองเป็นการรับประกันหนังจากตัวต้นฉบับเองด้วยว่ามือถึงพึ่งได้ (ใครไปรอดู เตรียมตั้งใจดูฉากร้านขายของเก่าให้ดีครับ)
ในภาคนี้เมื่อตัวละครหลักเติบโตขึ้น จึงได้คัดเลือกนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทด้วย โดยที่เด่นนำมาก็คงเป็นบท เบฟ สาวหนึ่งเดียวของกลุ่มที่ได้ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (Jessica Chastain) มารับบท ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวช่างฝันในรักแท้ที่คำกลอนในวัยเด็กยังติดตรึงใจมา หากแต่ด้วยความที่ผ่านช่วงเวลาอันทรมานจากโลกความจริงทั้งเรื่องของพ่อและคนรัก ดวงตาอันอ่อนล้าและกรีดร้องยังกู่ก้องในแววตาเช่นกัน นับเป็นบทที่ต้องใช้ฝีมือของแชสเทนจริง ๆ ด้านตัวนำเด่นของกลุ่มอย่าง บิล ที่กลายมาเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังที่แฟน ๆ ทุกคนเกลียดตอนจบของหนังสือแทบทุกเรื่องของเขา ก็ได้ เจมส์ แม็คอะวอย (James McAvoy) มารับบทซึ่งก็ไว้ใจฝีมือที่ต้องแสดงเป็นคนติดอ่างมีทั้งความกล้าและความไม่สมบูรณ์ในตัวได้อย่างน่าสนใจ
ด้านดาวเด่นของงานแบบเกินคาดหมายขอยกให้ บิล เฮเดอร์ (Bill Hader) ที่มารับบท ริชชี่ ปากมอมที่โตมากลายเป็นดาวตลกอาชีพที่คอยพูดมุกสไตล์ตลกร้ายใส่เพื่อน ๆ และคนดู จนหนังปลอดล็อกสถานการณ์ชวนอึดอัดให้ผ่อนคลายได้สนุกสนานมาก ๆ ตลอดเรื่อง นักแสดงอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ถือว่าฝีมือได้มาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไร และอาจต้องพูดถึงการแสดงของ บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) ในบท เพนนีไวซ์ ปีศาจตัวตลกที่บอกได้เพียงว่าเด็ดดวงสยองเกล้าเช่นเดิม ยิ่งได้ซีจีมาช่วยเพิ่มความบิดเบี้ยวของการแสดงก็ยิ่งหลอนมากขึ้น ฉากที่ทำได้อย่างน่าจดจำก็เช่นฉากนับถอยหลังจนน้ำลายไหล ที่ทำเอาขนลุกเกรียวทีเดียว
3 อย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ หนึ่งความครบรสที่มีทุกอารมณ์ทั้งสยองก็สุด ขำก็สุด ซึ้งก็สุด ช่วงการต่อสู้กับตัวตลกแต่ละฉากก็มันสะใจ สองคือรสนิยมที่มีคลาสสูงด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก ทั้งสวยทั้งแปลกและหลอนได้ตามเป้าประสงค์ ทั้งยังมีความสร้างสรรค์ในการจินตนาการความกลัวออกมาอย่างน่าทึ่งต้องชมทีมศิลป์ด้วย และสุดท้ายคือการตกผลึกเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ในช่วงจบทำให้เราอินและหลงรักหนังได้มากที่เดียว สิ้นสุดการเดินทางแสนยาวไกลของแก๊งขี้แพ้ที่บอกพวกเราว่าเพราะทุกคนอ่อนแอจึงไม่เคยคิดทิ้งกัน นั่นคือคำว่าเพื่อนที่ไม่เคยตายนั่นเอง ใครบางคนอาจชอบภาคแรกมากกว่า แต่ส่วนตัวผมค่อนข้างบันเทิงและอินกินใจกับภาคนี้มากกว่า ด้วยการเปรียบเปรยความเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้แพ้กับวัยเด็กที่เฉียบคมนี่เอง
สยองสนองบันเทิง ต้องกดจองตั๋วที่รูปเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส