[รีวิวซีรีส์] ‘THE I-LAND’ อีกหนึ่งพล็อตติดเกาะที่น่าสนใจ แต่ไปไม่ถึงฝั่ง
Our score
6.4

THE I-LAND

จุดเด่น

  1. เริ่มต้นเรื่องราวได้น่าสนใจ และน่าตื่นเต้นจนทำให้อยากติดตามไปเรื่อย ๆ
  2. ตัวละครหลักของเรื่องคือมี Power มากพอที่จะเป็นเดอะแบกที่สามารถประคองซีรีส์ทั้งเรื่องไว้ได้ด้วยตัวคนเดียว (ต้องชื่นชมจริง ๆ นะ)

จุดสังเกต

  1. บทโดยรวมยังแอบให้ความรู้สึกเชย ๆ แถมเนื้อเรื่องช่วงหลังก็คาดเดาง่าย จุดหักมุมก็ไม่น่าเซอร์ไพรส์อย่างที่คาดหวังไว้
  2. ตัวละครน่าเบื่อ น่าขัดใจ ไม่มีจุดที่น่าสนใจพอจะดึงคนดูเอาไว้ได้
  3. ความสมเหตุสมผลถือว่ายังมีไม่มากพอที่จะทำให้คนดูเชื่อในเรื่องราวที่ซีรีส์อยากจะเล่าได้
  • ความสมบูรณ์ของบท

    6.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    7.0

  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • ความสนุกน่าติดตาม

    6.5

  • คุ้มเวลา ค่าตั๋ว

    5.5

ช่วงนี้กระแสของซีรีส์เรื่อง ‘เคว้ง’ Original Netflix เรื่องแรกของไทยยังคงเป็นที่พูดถึงอย่างหนาหู วันนี้เราก็เลยอยากจะมาแนะนำอีกหนึ่งซีรีส์แนว Survival บนเกาะร้างสุดลึกลับ ซึ่งที่จริงแล้ว ‘THE I-LAND’ ก็เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ถูกปล่อยสตรีมมิงอยู่บนหน้าหลักของ Netflix มาสักพักแล้วเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงในวงกว้างสักเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่พล็อตเรื่องและภาพโปรโมตนั้นมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรนั้น? คงต้องขอให้ทุกคนติดตามอ่านบทความนี้ให้จบแล้วล่ะ

the i-land

Play video

เรื่องย่อ ‘THE I-LAND’


เล่าเรื่องราวของคน 10 คนที่ตื่นขึ้นมาบนเกาะร้างไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต โดยที่ทุกคนนั้นจะมีของติดตัวมาเพียงคนละ 1 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นมีด ขวาน หรือแม้กระทั่งหอยแตรสังข์! ที่สำคัญทุกคนจะมีอาการ ‘ความจำเสื่อมชั่วคราว’ ที่ทำให้พวกเขาจำเรื่องราวในอดีตหรือแม้กระทั่งชื่อของตัวเองไม่ได้แม้แต่น้อย ความมึนงงสับสนและอุปนิสัยที่แตกต่างกันแบบสุดขั้ว ทำให้พวกเขาต้องทนอยู่ร่วมกันโดยไร้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจ และต้องพยายามช่วยกันปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อเอาชีวิตรอดจากเกาะนี้ให้ได้ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมายก็ตาม

  • ประเภท : ลึกลับ / ไซไฟ
  • กำกับ : Anthony Salter
  • แสดงนำ :  Natalie Martinez, Kate Bosworth, Ronald Peet
  • ช่องทางการรับชม : www.netflix.com

the i-land

ความรู้สึกหลังดู ‘THE I-LAND’


แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโจทย์ที่ยากและโหดหินมากจริง ๆ สำหรับคนทำหนังที่เลือกจะหยิบเอาพล็อตเรื่องสุด คลิเช (cliche=จำเจ) อย่าง ‘การเอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง’ ที่มีผลงานขึ้นหิ้งให้เห็นกันอยู่แล้วมากมายบนโลกภาพยนตร์และโทรทัศน์ มาตีความใหม่พร้อมเล่าเรื่องให้มีความน่าสนใจและต้องไม่ให้ภาพจำจากหนังเรื่องอื่น ๆ มากลบจุดยืนของหนังตัวเองจนถูกกลืนไปเสียหมด โจทย์ระดับพระกาฬเหล่านี้จึงมักถูกผู้สร้างแก้โจทย์กลับด้วยงานสร้างสุดสร้างสรรค์และอลังการ ใส่จุดขายของเรื่องที่แปลกใหม่น่าประทับใจ หรือแม้กระทั่งนักแสดงที่เลือกมาใช้ก็ต้องน่าดึงดูดมากพอที่จะดึงคนดูเอาไว้ไม่ให้ปิดหนีไปซะก่อน ซึ่งหนังแนว ‘Survival’ แบบนี้มันก็มีหลายเรื่องที่มีครบทุกหัวข้อสำคัญในแบบคนดูต้องการ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ไปไม่ถึงมาตรฐานใดสักข้อเช่นเดียวกัน

the i-land

‘THE I-LAND’ จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เปิด 2 EP. แรกไว้ได้น่าสนใจและน่าติดตามมาก ๆ อาจเพราะช่วงแรก ๆ นั้น ถึงแม้ว่าจะมีการเริ่มเรื่องราวด้วยฉากคลาสสิกสไตล์หนังติดเกาะคล้ายเรื่องอื่น ๆ ทั่วไป แต่การปูเรื่องราวความลึกลับและที่มาที่ไปของเกาะร้างพร้อมด้วยคนอีก 10 คนที่ทั้งต่างพื้นเพต่างนิสัยเอาไว้ได้อย่างน่าตื่นเต้น บวกกับการทิ้งปมสงสัยเอาไว้ในแทบทุก ๆ Sequence ของช่วงแรก ทำให้เราคนดูยิ่งทวีความอยากรู้และความคาดหวังไปแล้วว่ามันจะต้องมีอะไรให้น่าตื่นเต้นมากกว่านี้อีกอย่างแน่นอน ทำให้ช่วงต้นเรื่องนั้นจึงแอบมีกลิ่นอายของหนังเอาชีวิตรอดสุดคลาสสิกชวนดูอยู่ไม่น้อย แต่พอพ้นช่วง 2 EP. นี้ไป หนังก็ทำลายความคาดหวังของคนดูจนหมดสิ้น

the i-land

เมื่อยิ่งดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมีพล็อตรองอื่น ๆ เข้ามาแทรกเยอะมากขึ้นในขณะที่พล็อตเรื่องหลักแทบจะไม่เฉลยอะไร จนความน่าตื่นเต้นกลายเป็นความงุนงงที่คนดูเริ่มตามไม่ทัน และเริ่มจูนกับเนื้อเรื่องไม่ค่อยติดสักเท่าไหร่ ทำให้ช่วงหลังของการดูเรื่องราวทั้งหมดให้หมดนั้น เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นความทรมานเหลือเกินสำหรับการดูซีรีส์สักเรื่อง (จริง ๆ นะ) แถมเนื้อหาที่เริ่มออกทะเลไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะได้เป็นจ้าวแห่งโจรสลัดอยู่แล้ว(ฮา) ก็ดันถูกตบกลับมาแบบฉับพลันในตอนท้าย ๆ ของซีซัน ที่ตอนนั้นใจใจคนดูก็เหนื่อยหน่ายกับเนื้อเรื่องเหลือเกิน ทำให้ช่วงหลัง ๆ ของเรื่องกลายเป็นการสรุปปมและเฉลยที่มาที่ไปของเรื่องราวได้แสนจะเบาหวิว ไร้ซึ่งน้ำหนักของความสมเหตุสมผลใด ๆ ชวนให้นึกถึงเพลงของ The Toy ฉันจะพาเธอลอยยย… ลอยออกทะเลไปเลยอะจ้ะ แหะ

the i-land

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ซีรีส์ที่มากับพล็อตสุดจำเจเรื่องนี้ ไม่เป็นที่โดดเด่นออกมาจากผลงานอื่น ๆ สักเท่าไหร่นั่นอาจจะเป็นเพราะหนังประเภทนี้มีตัวละครเยอะ (10 คน) และมีถึง 10 คาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันไป แต่ดันหยิบเอาจุดเด่นนี้มาใช้งานได้อย่างไม่คุ้มค่า ทำให้บางตัวละครก็ดูเหมือนจะเสียของ เพราะแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องใด ๆ  คือมีอยู่ให้รู้ว่ามีแต่ดันไม่ถูกใช้ประโยชน์ แถมบางตัวละครก็ดันงี่เง่าน่ารำคาญซะจนอยากจะกดข้ามให้มันรู้แล้วรู้รอดไป จะพูดว่าตัวละครที่ไม่เวิร์กเหล่านี้นั้นมีผลอย่างมากเลยทีเดียวที่ทำให้ตัวเนื้อเรื่องมีความน่าสนใจน้อยลงก็คงไม่ผิด

the i-land

สุดท้ายนี้ ‘THE I-LAND’ จึงเป็นซีรีส์ที่สามารถดูคั่นเวลาได้ถ้าหากคุณไม่รู้จะดูอะไร (หรือเอาเวลาไปทำอย่างอื่นก็ได้) หรือจะเปิดทิ้งเอาไว้ให้บ้านไม่เงียบก็ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่แย่เช่นกัน เพราะถึงแม้ว่าในตอนจบของเรื่อง ตัวซีรีส์เองอาจจะพาตัวละครบางตัวไปส่งถึงอีกฝั่งหนึ่งได้(?) แต่ในขณะเดียวกันนั้นซีรีส์กลับทิ้งคนดูเอาไว้กลางทางตั้งแต่กลางเรื่องแล้วล่ะ…

the i-land

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส