ถือเป็นหนัง Road Movie ม้ามืดที่ถูกจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะการเป็นโพรเจ็กต์ที่นำนักแสดงดาวน์ซินโดรมจริง ๆ มาเป็นตัวละครหลัก โดยมีที่มาจากการที่สองผู้กำกับอย่าง Tyler Nilson และ Michael Schwartz ไปค้นพบ Zack Gottsagen จากการเข้าค่ายนักแสดงพิการ ซึ่งหนุ่ม Zack มีไฟอยากเป็นนักแสดงมาก ถือเป็นโจทย์ท้าทายและเรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจหลัก ๆ ที่หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้เลย
The Peanut Butter Falcon เป็นเรื่องราวของ Zack เด็กดาวน์ซินโดรมที่เดินตามหาฝันอยากเป็นนักมวยปล้ำ หลังจากได้แรงบันดาลใจจากวีดิโอมวยปล้ำเก่า ๆ ที่เขาได้ดูในสถานดูแล จนมาวันหนึ่ง Zack ก็หลบหนีออกมาได้สำเร็จในสภาพเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว เขาออกตามหาไอดอลในวงการมวยปล้ำที่ชื่อ the Salt Water Redneck (Thomas Haden Church) ที่เขาเห็นในวีดิโอตั้งแต่เด็ก ๆ และต้องการจะเรียนมวยปล้ำเพื่อไปเป็นนักมวยปล้ำอาชีพให้ได้ แม้ว่าตัวเองจะเป็นเด็กพิเศษก็ตาม ซึ่งแรงบันดาลใจตรงนี้ก็ปรับแต่งจากชีวิตจริงของ Zack ที้อยากเป็นนักแสดงฮอลลีวูดนั่นเอง
และที่น่าสนใจก็คือ การได้แคสต์ทั้ง Shia LaBeouf ที่กลับมารับงานอีกครั้งหลังจากที่เราแทบจะไม่ได้เห็นเขาเลย นอกเหนือจากข่าวแย่ ๆ ในช่วงหลัง ๆ จากปัญหาชีวิตของเขา โดยเขากลับมารับบทเป็น Tyler คนจรจัดที่หนีคดีความมาหางานก๊อกแก๊กแถบท่าเรือ และจับrลัดจับผลูต้องมาร่วมเดินทางข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปี้กับ Zack ไปด้วย ซึ่งด้วยลุคเซอร์จัด ๆ เถื่อน ๆ รุงรัง ๆ ของ Shia ในเรื่องนี้ กลับ contrast กับคาแรกเตอร์ของ Zack แล้วลงตัวเกินคาด หลายคนเคยมองเขาว่ามีจุดบอดตรง ‘หน้าเด็ก’ ไปหน่อย กับตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่มาก ๆ แต่กับเรื่องนี้ลงตัวดีกับเขามาก (บท Tyler ละม้ายคล้ายกับหนังเรื่อง Holes) ผมชอบบทของทั้ง Shia และ Dakota ถูกเกลี่ยออกมาพอดี ไม่โดดเด่นเกินหน้าหนุ่ม Zack ที่เป็นหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้
ความน่าสนใจของหนังแนวนี้จะอยู่ที่เหตุการณ์ระหว่างทางที่พาไปยังจุดพีค ซึ่งตลอดการเดินทางตั้งแต่ช่วงที่ Elenor (Dakota Johnson) เข้ามาเติมเต็มสีสันให้พาร์ตหลัก (นางดาเมจแรงมากก-โดนตกง่าย ๆ ไม่รู้ตัว…ฮา) ไปจนถึงการปรากฏตัวของตัวละครบางตัวที่พลิกอารมณ์ของหนังได้วูบวาบ และชวนลุ้นได้กำลังดี แถมอีกชุดที่ชอบคือการสอดแทรกมุกตลกให้ได้ฮาอยู่เรื่อย ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
บทสรุปของ The Peanut Butter Falcon ถือเป็นหนังที่กลมกล่อมและเป็นธรรมชาติดีตั้งแต่บทยันเคมีนักแสดง ให้อินเนอร์ราวกับว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ระหว่างทางที่ทั้ง 3 เดินทางไปยังโรงเรียนสอนมวยปล้ำนั้น เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หนังเลือกนำมาทดสอบความสัมพันธ์ และการเดินเรื่องให้คนดูออกไปเป็นผู้สังเกตเห็นพัฒนาการ การเรียนรู้แง่มุมของกันและกันในชีวิต ซึ่งต้องชมเลยว่าสิ่งที่ Zack แสดงออกมานั้นมันทำให้หนังทรงพลังขึ้นมาก ๆ แถมสะท้อนจิตใจของมนุษย์ลึก ๆ ว่า หากทุกคนมีความเมตตา อะลุ่มอล่วย ให้พื้นที่สำหรับความผิดพลาดกันและกัน โลกจะน่าอยู่ขึ้นเยอะ เหมือนที่เรามองและแสดงออกกับเด็กพิเศษ เพราะใจเราโฟกัสไปที่ทำความเข้าใจกับเขามากกว่ามองเอาความต้องการตัวเองเป็นศูนย์กลาง
และเมสเซจที่ทรงพลังที่สุดของเรื่องเลยก็คือ ครอบครัว ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่ลูกที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน แต่หากอยู่กับสังคมไหนแล้ว ได้ดูแลกัน จุนเจือกัน พร้อมจะเข้าใจกัน และอดทนผ่านเรื่องหนัก ๆ ไปด้วยกันได้ นั่นก็เรียกว่าเป็นครอบครัวแล้วเหมือนกัน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส