Our score
8.3ชะตาธิปไตย
จุดเด่น
- บันทึกภาพการหาเสียงเลือกตั้งผ่านมุมผู้สมัครที่เป็นประวัติศาสตร์สำคัญของไทยอันหาไม่ได้
- วิธีการเล่าเชิงกวีที่ทำให้หนังมีลีลามากกว่าสารคดีธรรมดา
จุดสังเกต
- บทสรุปการเล่าเรื่องที่อาจไม่ชัดเจนเพราะฟุตเทจไม่ได้เอื้ออำนวยมาเช่นนั้น
- การเลี่ยงการพิพาทกันอย่างชัดเจนของซับเจ็กต์ทำให้ขาดน้ำหนักเรื่องความสัมพันธ์
- ลีลาเชิงกวีอาจทำให้หนังเนือยและเข้าถึงยากขึ้น
- เวลาที่ยาวมากถึง 130 นาที
-
ความน่าสนใจของซับเจ็กต์สารคดี
10.0
-
วิธีการเล่าเรื่องสารคดี
8.0
-
คุณภาพโปรดักชั่น การผลิต ความแปลกใหม่
8.0
-
ความน่าติดตาม หยุดดูไม่ได้
7.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
8.5
เรื่องย่อ นี่คือสารคดีไทยแท้ ที่รอการเผยแพร่นานถึง 7 ปี! หนังบันทึกบรรยากาศการเลือกตั้งและเหตุการณ์หลังจากได้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยติดตามสามผู้สมัคร ส.ส. ที่เป็นเพื่อนสนิทกันเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย แต่ดันลงสมัครผู้แทนฯจากคนละขั้วพรรคการเมือง มิตรภาพกลายเป็นการแข่งขันในสนามการเลือกตั้งครั้งที่คึกคักและดุเดือดที่สุด …นับจากสลายการชุมนุมมาสู่น้ำท่วมใหญ่ พ.ศ.2554
นี่อาจเป็นผลงานสารคดีที่แฟนการเมืองไทยอาจรอคอยมาแสนนาน มันอาจไม่ใช่ผลงานรวมปรมาจารย์หรือกูรูมาแสดงทรรศนะเพื่อหาคอนเซ็ปต์หรือรูปร่างแท้จริงของการเมืองในบ้านเรา ในแบบที่ Paradoxocracy ประชาธิป”ไทย” ของ เป็นเอก รัตนเรือง และ ภาสกร ประมูลวงศ์ เคยทำไว้ แต่ความน่าสนใจที่มันดึงดูดเราทันที่ตั้งแต่แรกพบคือ ‘ความเป็นธรรมชาติอันเป็นไปอย่างไร้การกำหนด’ ซึ่งเป็นสาระแห่งสารคดีในแบบการถ่ายทอดเหตุการณ์ และ ชะตาธิปไตย ก็ผ่านห้วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน ความไร้แก่นสารแห่งสถานการณ์อันวุ่นวายในตัวสารคดี ตลอดจนความผันผวนในกระบวนการสร้าง ตั้งแต่ต้นธารความคิดริเริ่มที่ตั้งใจเป็นหนังติดตาม ส.ส. ใหม่อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว จนมาเป็นว่าเล่าเรื่องเพื่อนร่วมรุ่น 3 คนต่างแข่งขันในเวทีการเมืองโดยมีจุดยืนคนละฟากฝั่ง และท้ายสุดโดยไม่ตั้งใจมันก็กลายเป็นสารคดีบันทึกประวัติศาสตร์เมืองไทย ผ่านเรื่องราวของมิตรภาพและจุดยืนไป อย่างที่อำนาจเหนือการกำหนดของมนุษย์อาจได้จรดปากกาไว้แต่เริ่ม โดยตัวผู้กำกับและผู้ถูกถ่ายก็ไม่ทันรู้ตัว และนั่นจึงทำให้หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถึง 7 ปี หลังหนังเสร็จ จึงจะได้ออกฉายให้กับคนทั่วไปได้ชม
ความน่าสนใจของหนังจึงอยู่ที่การบันทึกเรียงร้อยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย นับตั้งแต่หลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ปี 2553 จนนายกอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา เรื่อยมาจนถึงการแข่งขันชิงชัยจนได้มาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเข้าสู่ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 อีกเล็กน้อยนั่นเอง พื้นที่ส่วนใหญ่ของสารคดีจึงหนักอยู่ตรงช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งของแต่ละคนเป็นหลัก ซึ่งเป็นเรื่องดีที่น่าเสียดาย เอาตามจริงคือก่อนเข้าชมคาดหวังว่ามันจะเป็นสารคดีที่ว่าด้วยความสัมพันธ์บนทางเลือกที่ต่างของเพื่อน 3 คนที่มีการเมืองไทยเป็นฉากหลังสะท้อนค่าของมิตรภาพระหว่างมนุษย์ และความขัดแย้งในสังคมที่บานปลาย และเชื่อว่าผู้กำกับเดชาเองก็คงเข้าใจว่าตนเองอาจทำหนังแบบนั้นอยู่ ทว่าบทอันชะตาได้เขียนเองไว้ไม่ได้อนุญาตให้หนังเรื่องนี้เป็นเช่นนั้น
ตลอดระยะเวลาของหนังมันคือการต่างคนต่างไป เหมือนติดตามการหาเสียงมุมมองและความคิดของคน 3 คน ที่บังเอิญเคยเรียนที่เดียวกันเสียมากกว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะไม่เคยมีใครพูดถึงใคร ไม่มีฉากที่ปรากฏตัวร่วมกัน (เพราะพื้นที่หาเสียงอยู่คนละภาค) ไม่มีแม้แต่หลังการชิงชัยทั้งสามจะพานพบกันในหน้าฉากของการเมือง หากไม่เพราะเสียงของตัวผู้กำกับและเพื่อนอีกคนที่ช่วยเล่าแล้ว เราคงไม่อาจรู้ได้เลยว่าทั้ง 3 คนมีความเกี่ยวข้องกัน นี่จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่หนังขาดมุมนี้อันจะส่งผล ให้ไม่เข้าเป้าหมายของหนังไป แต่ในความน่าเสียดายมีเรื่องดีอยู่เช่นกัน
มันทำให้เราเห็นความแตกต่างของแต่ละคนในแง่ลึก การทำการตลาดในพื้นที่ต่างกัน พวกเขาต้องใช้วิธีการที่ต่างกันและบางอย่างก็ชวนถกเถียงอยู่ไม่น้อย ทั้งการซื้อเสียงที่นัยหนังปานจะบอกว่าเป็นเรื่องจำเป็นในการเป็นผู้แทนตามวัฒนธรรมของภาคหนึ่ง การเห็นการทำความผิดทางวัฒนธรรมซึ่งหน้าอย่างการเปิดบ่อนในงานศพก็เป็นเรื่องที่ดูยอมรับได้ในฐานะผู้จะเข้าไปทำหน้าที่ของรัฐ และคนทุกคนต่างมีรอยแผลที่อุกฉกรรจ์ซ่อนไว้ ไม่มีใครที่เป็นฮีโรที่แท้จริง คนที่ดูเรียบร้อยสุภาพอาจซ่อนความเบื่อหน่ายทางการเมืองและทนต่อการปั้นสีหน้าในการหาเสียงอยู่ภายใน คนหนึ่งดูเป็นผู้แทนที่เพียบพร้อมทางจิตใจ แต่กลับซ่อนปมเรื่องการเสียแม่เอาไว้ และเมื่อถึงเวลาหนึ่งเขาก็มีมุมมืดในเรื่องของผู้หญิงอย่างน่าเคลือบแคลงในบรรทัดฐานทางจริยธรรม
คือเราอาจไม่ได้แง่มุมเชิงความสัมพันธ์ แต่เราได้เห็นมนุษย์การเมืองที่วิ่งวนว่ายวนอยู่ในการเมืองแบบไทย ๆ ที่ทั้งแปลกประหลาดและบิดบรรทัดฐานใด ๆ อย่างผิดเพี้ยนจนชวนกระอักกระอ่วนใจหลายครั้งหลายครา เราได้เห็นบทบันทึกประวัติศาสตร์การหาเสียงในแต่ละภาคของไทย การตอบรับของชาวบ้านและมุมมองทางสังคมจากคนรอบนอกที่ไม่ใช่เมืองหลวง ตรงนั้นเสียอีกที่ชัดเจนและน่าสนใจอย่างมาก เพราะไม่มีสารคดีเรื่องไหนจะช่วยบันทึกประวัติศาสตร์ส่วนประกอบรอบนอกเช่นนี้เอาไว้อีกแล้ว
หนังยังได้ รัฐกร โกมล ผู้คร่ำหวอดในวงการเบื้องหลังด้านดนตรีมาช่วยทำเพลงประกอบในแนว โพสต์ร็อก ด้วย ซึ่งเพลงนี้ก็อธิบายบรรยากาศและสภาวะทางจิตใจของห้วงเวลาหนึ่งในสังคมเราได้ดีเหลือเกิน
สารคดีเรื่องนี้เข้าฉายเฉพาะโรง LIDO CONNECT ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 ตุลาคมนี้ ผู้สนใจสามารถซื้อตั๋วได้ที่หน้าโรงหนังลิโด้ 2 หรือจองตั๋วผ่านทาง www.ticketmelon.com/lidoconnect ได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส