Our score
8.3The Beast ปิดโซลล่า
จุดเด่น
- การแสดงที่ดี ดราม่าเข้มข้น
- พลอตแย่งชิงทำผลงานขัดแข้งขัดขาในคดีฆาตกรรม ดูแปลกน่าสนใจดี
- โพรดักชันสวย ดีไซน์หนังดี
จุดสังเกต
- ตัวละครเยอะ ซับซ้อน
- หนังค่อนข้างยาว ต้องใช้สมาธิสูง
- ซับพลอตเยอะ อาจทำแก่นเรื่องแผ่วบ้างบางจุด
-
ความสมบูรณ์ของบท
8.5
-
คุณภาพนักแสดง
8.5
-
คุณภาพโปรดักชั่น การผลิต ความแปลกใหม่
8.5
-
ความน่าติดตาม หยุดดูไม่ได้
8.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
8.0
เรื่องย่อ ในโซลเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องสุดโหดที่ยังไม่สามารถจับฆาตกรมาลงโทษได้ ทีมของ ผู้กองฮันซู ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมในชุดสืบสวนของคดีนี้ โดยมีคู่แข่งเป็นทีมของ ผู้กองมินเต ซึ่งทั้งคู่มีเดิมพันใหญ่ว่าหากใครปิดคดีนี้ได้จะได้รับการเลื่อนชั้นเป็นหัวหน้าหน่วยคนใหม่ และยิ่งสืบไปก็ยิ่งแข่งกันเข้มข้นจนเริ่มไม่เลือกวิธีการ แล้วใครกันแน่คือสัตว์ร้ายตัวจริงในเรื่องนี้?
ผลงานสุดเดือดของผู้กำกับ อี จุงโฮ (Lee Jung-Ho) ที่เคยฝากผลงานในแนวสืบสวนระทึกขวัญมาแล้วถึง 2 เรื่อง อย่าง Best Seller (2010) และ Broken (2014) มาในเรื่องล่าสุดนี้ เขาได้ดึง อี ซองมิน (Lee Sung-Min) นักแสดงคู่บุญที่เล่นให้เขามาทุกเรื่องมารับบทนำหลัก ผู้กองฮันซู นายตำรวจสายสัญชาตญาณ ที่ใช้วิธีการเทา ๆ ปิดคดีสำคัญมาแล้วมากมาย โดยเขาต้องปะทะกับนักแสดงนำสุดเก๋าพอกันอีกคนอย่าง ยู แจมุง (Yoo Jae-Myung) ที่รับบท ผู้กองมินเต ซึ่งพยายามไล่กวดผลงานของฮันซูแบบหายใจรดต้นคอ เพราะทั้งคู่แม้เป็นอดีตคู่หูตำรวจแต่ในตอนนี้คือคู่แข่งสำคัญในการแย่งเก้าอี้หัวหน้าหน่วยคนใหม่ที่มีที่เดียว
ความน่าสนใจอีกประการของหนังมาจากการร่วมสร้างระหว่างเกาหลีและฝรั่งเศส โดยฝั่งฝรั่งเศสนั้นได้ Gaumont ที่เป็นถึงสตูดิโอที่เคยทำหนังอย่าง Léon: The Professional (1994) และ The Fifth Element (1997) มาแล้ว และครั้งนี้ก็เป็นการนำหนังเก่าของสตูดิโอมาให้ฝั่งเกาหลีรีเมก โดยนำพลอตมาจากเรื่อง 36 Quai des Orfèvres (2004) ที่ว่าด้วย 2 ตำรวจแข่งกันสืบคดีปล้น ซึ่งครั้งนี้เกาหลีได้นำมาพลิกเป็นการสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เพิ่มเส้นเรื่องของตัวฆาตกรตีคู่ไปพร้อมกันด้วย ก็ช่วยเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นไปอีก
จุดเด่นของหนังคงต้องยอมรับว่ามาจากการแสดงที่ดึงความสนใจคนดูให้เอาใจช่วยได้ตลอดเรื่องของ อี ซองมิน ที่ถ่ายทอดภาวะคนจิตใจดีที่ตกในช่วงวันผีซ้ำด้ำพลอยจนเขาเริ่มจะจิตหลุดไปทีละน้อย ทั้งนี้ตัวบทก็ส่งเสริมตัวละครนี้ได้ดีด้วยก็ต้องชื่นชม เพราะนอกจากจะสร้างสถานการณ์ชวนลุ้นมากมาย ยังใส่ปมเงื่อนที่ตัวละครก่อหรือรับผลกรรมจากอดีตมาพัวพันในปัจจุบันจนอีรุงตุงหนังได้เป็นผลสำเร็จ เป็นความวายป่วงที่แก้ปมหนึ่งก็ไปรัดแน่นอีกปมหนึ่ง คนดูยังคิดไม่ออกว่าจะมีทางออกอย่างไร ตัวละครยิ่งไปใหญ่เพราะยิ่งฝืนแก้ปัญหายิ่งบานปลายจนมุมที่ตัวเองสร้างขึ้นเอง
อีกส่วนที่ทำได้ดีของหนังคือการที่วางแก่นเรื่องว่าด้วยการแก่งแย่งชิงดีระหว่าง 2 นายตำรวจ ที่เคยเป็นคู่หูกัน มันทำให้แนวหนังแตกต่างจากหนังสืบสวนคดีปกติทั่วไป และยิ่งการวางซับพลอตมาช่วยเสริมได้อย่างสนุกทั้ง พลอตฆาตกรต่อเนื่องที่ฝั่งตำรวจถูกชักจูงให้หลงทางอยู่เรื่อย อดีตสายข่าวของตัวเอกที่ออกจากคุกและมีเป้าหมายล้างแค้นคนที่ทำให้ต้องติดคุกจนพาตัวเอกเข้าไปพัวพันคดีความควายเข้ามาแทรกไปอีก แล้วที่สั่นสะเทือนจิตใจเราที่สุดคงเป็นพลอตเสียดสีสังคมที่ว่าด้วยอิทธิพลแก๊งต่างชาติในเกาหลีที่มีทั้ง ญี่ปุ่น จีน และแน่นอนผีน้อยพี่ไทย โดยประโยคชวนสะอึกที่ว่า นี่คือสถานที่ที่เหล่าขยะมารวมกัน เพราะก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้คนไทยเป็นตัวร้ายที่นำพาปัญหาอาชญากรรมทั้งยาเสพติดและค้ามนุษย์เข้าสู่เกาหลีจำนวนมากจริง ๆ
สรุปท้ายนี้ก็คงติติงที่ว่าหนังเล่าเรื่องค่อนข้างนานมาก แม้จะเล่าได้น่าสนใจน่าติดตามชวนลุ้นในชะตากรรมของแต่ละตัวละคร แต่เทียบกันในกลุ่มหนังใกล้เคียงกัน ความยาวของหนังที่มากก็เป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้คนดูมีสมาธิจดจ่อกับหนังได้ตลอด ซึ่งไอ้เรื่องนี้ด้วยรายละเอียดยุ่บยั่บมันดันต้องตั้งใจดูเสียด้วยนี่สิ
ใครชอบแนวสืบสวน ดราม่าเข้ม ๆ โพรดักชันงาม ๆ หรือใครกำลังอินดราม่าช่วงเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายในที่ทำงาน เรื่องนี้นี่ตบตีชิงดีกันอย่างกับละครหลังข่าว ต้องดูเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส