Our score
7.5The Dead Don't Die
จุดเด่น
- ดาราคับคั่ง ดาราชั้นนำสายแมส สายอินดี้เยอะมาก
- อีสเตอร์เอ้กล้อเลียนเยอะ
- สัญญะเพียบเหมาะกับสายกระตุ้นสมองชอบทดสอบความเชื่อมโยง
- เป็นอินดี้ที่ดูสบายไม่หนักหัว
จุดสังเกต
- ดารามาเล่นไม่ทันคุ้มเลย
- ถ้าดูเอาบันเทิงก็สนุกพอประมาณ ออกเหมือนเลอะเทอะ งง ๆ ด้วยซ้ำถ้าไม่คิดตามเลย
-
ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท
7.5
-
คุณภาพนักแสดง
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
8.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
7.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
7.5
เรื่องย่อ ณ เซ็นเตอร์วิลล์ เมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ มีบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น พระจันทร์คล้อยต่ำลงมา ช่วงเวลากลางวันจะยาวหรือสั้น ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และเหล่าฝูงสัตว์ก็มีพฤติกรรมแปลกออกไป โดยไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวที่รายงานออกมาก็มีความน่าสะพรึงกลัวและเหล่ามีนักวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวพัน แต่ไม่มีใครคาดการณ์ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดและอันตรายที่สุดในเซ็นเตอร์วิลล์ นั่นคือเมื่อเหล่าคนตายกลับฟื้นชีพ พวกเขาลุกขึ้นจากหลุมฝังศพและออกมาโจมตีอย่างดุเดือด ทำให้ประชาชนของเมืองต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา
The Dead Don’t Die คือผลงาน ซอมคอม (Zom Com; Zombie Comedy) ในแบบ Zombieland (2009) ที่ใส่ลูกอินดี้หน้าตายลงไป (เยอะมาก) โดยความอินดี้นี้ก็มาจากตัวพ่อของวงการคนหนึ่งอย่าง จิม จาร์มุช (Jim Jarmusch) ผู้เคยคว้ารางวัลจูรี่ของเทศกาลหนังเมืองคานส์มาแล้วจากหนัง Broken Flowers (2005) และมีชื่อเสนอเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำมาแล้วถึง 8 ครั้ง ซึ่งรวมถึงหนังซอมคอมเรื่องนี้ด้วย ที่นอกจากได้รับการเสนอเข้าชิงแล้วยังเป็นหนังเปิดเทศกาลเมืองคานส์ปีล่าสุดอีกด้วย
ครั้งนี้จาร์มุชลองทำตามคำแนะนำของ ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) มาลองทำหนังซอมบี้ที่จัดกลุ่มได้ว่าเป็นตระกูลหนังยอดนิยมในสายแมสหนึ่งในยุคนี้เลยทีเดียว จาร์มุชเลยคิดการณ์ใหญ่ ทำหนังแมสทั้งที ดึงนักแสดงที่เคยร่วมงานกันมารวมกับนักแสดงหน้าใหม่สักครั้งแล้วกัน ทีมนักแสดงของหนังเลยจัดหนักมาเยอะมากทั้ง เจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง ทิลดา สวันตัน และผู้เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีก 6 คน อย่าง บิล เมอร์เรย์ (Bill Murray), อดัม ไดรเวอร์ (Adam Driver), โคลอี้ เซอวินี (Chloë Sevigny), คารอล เคน (Carol Kane) โรซี เปเรซ (Rosie Perez) และ ทอม เวตส์ (Tom Waits) รวมถึงดาราเก๋ามากฝีมืออย่าง สตีฟ บุสเซมี (Steve Buscemi) แดนนี โกลเวอร์ (Danny Glover) และนักแสดงใหม่อย่าง เซเลนา โกเมซ (Selena Gomez), คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (Caleb Landry Jones)
คือโอ้คุณพระ ดาราโคตรพระกาฬ ในหนังอินดี้ทุนต่ำขายไอเดีย นี่มันสูตรสำเร็จหนังรางวัล หรือไม่ก็เป็นบทชี้วัดบารมีของผู้กำกับชัด ๆ เลย แต่ให้พูดกันจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเหมือนงานปาร์ตี้ดาราขำ ๆ แสดงสบาย ๆ มากกว่าจะเอาดาราเหล่านี้มาโชว์ของโชว์พลังเต็มที่ ถ้าพูดตรงกว่านั้นคือ บทแบบนี้ไม่ต้องเอาดาราระดับนี้มาเล่นก็ได้นะเอาจริงแล้ว
หนังใช้สไตล์แบบอินดี้หน้าตาย โดยเล่าผ่านสายตาของ 2 ตำรวจประจำเมืองเซ็นเตอร์วิลล์ คลิฟฟ์ กับ รอนนี่ (บิล เมอร์เรย์ และ อดัม ไดรเวอร์) ซึ่งเผชิญสถานการณ์ประหลาดที่ข่าวทีวีบอกว่ารัฐขุดเจาะขั้วโลกทำให้แกนโลกหลุดจากฐานเดิม ส่งผลให้มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นคือคนตายคืนชีพขึ้นมากัดกินคนเป็น โดยทั้งหมดถูกบรรยายทับด้วยสายตาของ ฤาษีบ็อบ (ทอม เวตส์) ชายผู้ทิ้งโลกวัตถุนิยมในเมืองเข้าสู่ป่าและมักส่องกล้องทางไกลมองเรื่องราวต่าง ๆ ในเมืองเสมอ คือหนังมันเอาซอมบี้มาเสียดสีสังคมอย่างที่ จอร์จ เอ. โรเมโร (George A. Romero) บิดาแห่งหนังซอมบี้ผู้ให้กำเนิดหนัง Night of the Living Dead (1968) ได้ถางแนวทางมานั่นล่ะ
คราวนี้ถ้ากลัวงง และ ไม่หวั่นสปอยล์ ก็ขอแนะพอสังเขปช่วยตีความในการรับชมว่า หนังมันล้อเลียนเรื่องโลกร้อนกับบริโภคนิยมของสังคมมนุษย์นั่นเอง หลาย ๆ ฉากโดยเฉพาะในข่าวมักจะอ้างอิงเรื่องว่ารัฐบาลบอกอย่าไปฟังนักวิทยาศาสตร์เตือน (เหมือนที่ผู้นำหลายประเทศใหญ่ไม่เชื่อที่นักวิทยาศาสตร์พูดว่า โลกร้อน เป็นเรื่องจริง) การที่ซอมบี้ฟื้นขึ้นมาและโหยหาสิ่งที่เขามีความกระหายความอยากตอนมีชีวิตอยู่ ทั้ง ขนม กาแฟ ไอโฟน ไวไฟ หรืออะไรต่าง ๆ ก็ล้วนสะท้อนภาพความเป็นนักวัตถุนิยมบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่งของมนุษยชาติในยุคนี้ ชื่อเรื่องและชื่อเพลงธีมที่ว่า “คนตายไม่ตาย” ก็เป็นเหมือนการย้ำภาพความฝืนธรรมชาติของมนุษย์ ที่อยากเอาชนะธรรมชาติอยู่ร่ำไปจนกลับมากัดกินทำร้ายตัวเอง แถมคลื่นความคิดละโมบนี้ยังกลืนกินคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เอี่ยวให้เป็นพวกเดียวกันไปด้วย ไม่ว่าจะเจ้าของกิจการร้านค้า วัยรุ่น หรือแม้แต่ผู้ถือกฎหมาย และเจ้าหน้าที่รัฐ เวลาฟันร่างกายของพวกซอมบี้จะเห็นควันสีดำลอยฟุ้ง ดั่งความชั่วร้ายในมนุษย์หลุดลอย ดั่งมลพิษที่สุมคั่งอยู่ในทุกกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งทำลายล้างโลกนี้อย่างรวดเร็ว
เพลงของ สเตอร์จิล ซิมป์สัน (Sturgill Simpson) ที่แต่งใหม่ให้หนังเรื่องนี้ จึงถูกนำมาเน้นย้ำเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผ่านตัวละครผู้ทลายกำแพงมิติที่ 4 อย่าง รอนนี่ ซึ่งคล้าย เดดพูล (Deadpool) ที่รู้ว่าตัวเองเป็นแค่ตัวละครในหนัง รอนนี่ เองก็รู้ว่าเพลงที่ได้ยินบ่อย ๆ นี้เป็นเพลงธีมของหนังเรื่องนี้ แถมยังชอบย้ำประโยคว่า “เรื่องนี้มันต้องจบไม่สวยแน่ ๆ” อยู่เสมอ ราวกับรู้บทหนังตอนจบมาแล้ว ซึ่งมันก็ล้อเลียนกวนบาทาผู้ชมและสะท้อนกับเรื่องโลกร้อนได้ดีว่า เราก็รู้อยู่แล้วว่าโลกเรามันต้องมาถึงจุดวิกฤตแต่เราก็ยังทำตัวเหมือนเดิมนี่ล่ะ เพียงแต่บ่นกันว่า ฉันว่าแล้วเชียว แต่ก็ไม่ได้จะเปลี่ยนแปลงอะไร
ความปั่นป่วนของหนังมากที่สุดคงเป็นการมีตัวตนของ เซลด้า (ทิลดา สวินตัน) หญิงสาวผิวซีดผู้ชอบศิลปะฟันดาบญี่ปุ่น และปรัชญาแบบพุทธ ทั้งยังเป็นเจ้าของใหม่กิจการทำศพที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองมา ซึ่งในภาวะท้ายก็แสดงตัวตนแท้จริงออกมาได้หลุดโลกมาก ตรงนี้ก็เหมือนการฝากความหวังเรื่องโลกร้อนของเราไว้กับพระเจ้า หวังว่าจะมีอำนาจพิเศษเหนือการคาดเดาของนักวิทยาศาสตร์ ของผุ้กำกับจะเข้ามาแก้ปัญหานี้ให้ แต่แล้วสุดท้ายเธอก็แค่มาและจากไป มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ (มีสติ รู้คิดรู้แก้ไข) เท่านั้นที่ต้องพึ่งพาตัวเองช่วยกันแก้ปัญหานี้ต่อไป
เรียกว่านี่มันหนังรักษ์โลกชัด ๆ เลยนะ ถ้าตีความกันดี ๆ ถามว่าดูเอาบันเทิงพอได้ไหมก็ต้องบอกว่าพอได้ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้เฮฮาสร้างความสุขมากมาย แต่ถ้าถามว่าดูเอาตีความที่ผู้สร้างอยากซื่ออะไรก็เป็นหนังที่สนุกคิด ไม่ยาก และไม่ง่ายเกินไป ฉุดใจผู้ชมให้ครุ่นคิดเรื่องของเราเรื่องของโลกมากขึ้นด้วย น่าสนใจครับ
หนังเข้าฉาย 10 ตุลาคมนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เฉพาะที่โรงภาพยนตร์ เฮาส์ สามย่าน เท่านั้นนะ ไปลองหนังเจ๋ง ๆ กับโรงเปิดใหม่กันได้ที่นี่เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส