มาถึงตอนสุดท้ายจริง ๆ แล้วสำหรับการปฏิบัติภารกิจเป็น “สายลับพยัคฆ์ร้าย 007” ของ Daniel Craig นักแสดงที่สวมบทบาทนี้มาตั้งแต่ภาค Casino Royale (2006) เมื่อ 13 ปีก่อน กับหนังภาคล่าสุด No Time to Die ที่จะเข้าฉายเดือนเมษายน ปี 2020 ผลงานกำกับของ Cary Joji Fukunaga ที่เคยมีผลงานอย่างซีรีส์ True Detective (2014) มินิซีรีส์ Maniac (2018) และหนังอย่าง Jane Eyre (2011) และ Beasts of No Nation (2015) ซึ่งแต่ละเรื่องก็เป็นผลงานสไตล์เข้มข้น มีอะไรให้คิด และมีสไตล์ที่โดดเด่น โดย 007 ภาคล่าสุดได้ทำการปิดกล้องไปแล้ว เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ปฏิบัติการครั้งใหม่ของพยัคฆ์ร้ายที่ “ลาวงการ”
ในภาคนี้สายลับ 007 ได้ออกจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นสายลับและเกษียณตัวเองไปอยู่ที่ประเทศจาไมกา แต่แล้วเพื่อนเก่าสายลับ CIA อย่างฟีลิกซ์ ไลเทอร์ ก็ปรากฏตัวเพื่อขอให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป กลายเป็นว่าภารกิจนี้ซับซ้อนและมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ #ใหญ่กว่าที่คิส ทำให้บอนด์ต้องออกไล่ล่าตัวร้ายสุดอันตรายที่มาพร้อมกับอาวุธลับไฮเทคชิ้นใหม่ และในภาคนี้บอนด์จะได้แต่งงานอีกครั้งกับแมดเดอร์ลีน สวอนน์ นางเอกหลักของภาคที่แล้ว ซึ่งการแต่งงานของบอนด์มักจะตามมาด้วยโศกนาฎกรรม เหมือนเช่นในภาค On Her Majesty’s Secret Service (1969) ที่ฉากแต่งงานเป็นที่จดจำของสาวกเจมส์ บอนด์ตลอดมา
ระดมทีมนักแสดงอังกฤษคับคั่ง
ในตอนนี้ที่นับเป็นตอนที่ 25 จากจำนวนทั้งหมดของหนังเจมส์ บอนด์ ยังระดมนักแสดงอังกฤษมาเป็นกองทัพ นำโดยสาวบอนด์จากตอนที่แล้ว Léa Seydoux (Mission Impossible: Ghost Protocal) กลับมารับบท แมดเดอร์ลีน สวอนน์ เช่นเดิม (จากตอนที่แล้วที่ไม่ค่อยได้เล่นอะไรเท่าไหร่ นอกจากเดินไปเดินมา) Christoph Waltz (Django Unchained, Inglorious Basterds) กลับมารับบท โบลเฟลด์ ตัวร้ายของภาค Spectre ที่ใน 007 ตอนเก่า ๆ นั้นเป็นตัวร้ายที่ตายยากตายเย็น เปลี่ยนหน้าอยู่มาได้หลายภาค ต้องมาติดตามกันว่าในภาคนี้ จะมาปรากฎตัวแค่ในภารกิจเปิดเรื่องหรือไม่ นอกจากนั้นทีมหน่วยงานเบื้องหลังของสายลับพยัคฆ์ร้ายยังคงยกทีมกลับมากันหมด ทั้ง Ralph Fiennes ในบท เอ็ม หัวหน้า MI6, Ben Whishaw ในบท คิว ยอดนักประดิษฐ์อาวุธต่าง ๆ ให้บอนด์, Naomie Harris ในบทมันนี่เพนนี เลขาแสนสวย, Rory Kinnear ในบทแทนเนอร์ ผู้ช่วยของเอ็มตั้งแต่ยังเป็นผู้หญิง และ Jeffrey Wright ในบทฟีลิกซ์ ไลท์เตอร์ สายลับ CIA
ตัวร้ายระดับนักแสดงออสการ์ Rami Malek มีฉากได้ “จูบ” กับเจมส์ บอนด์
Rami Malek นักแสดงที่กำลังมือขึ้นสุด ๆ กับจากหนังเพลงอัตชีวประวัติที่ทำเงินทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลอย่าง Bohemian Rhapsody (2018) ที่เขารับบทเป็น Freddie Mercury ศิลปินระดับตำนานได้เหมือนจริงถึงขั้นได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม Malek ได้รับคัดเลือกให้มาแสดงเป็นตัวร้ายในภาคนี้ Barbara Broccoli ผู้อำนวยการสร้างได้เปิดเผยกับสื่อเมื่อไม่นานนี้ว่า Malek จะมารับบท “วายรายที่แท้จริง” ของหนังชุดนี้ ดูจากที่พูดแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวร้ายที่โหดหินกินกันไม่ลงกว่าตัวร้ายในภาคอื่น ๆ ของ Craig ที่ผ่านมา
Malek ให้สัมภาษณ์ว่า มีฉากเข้าพระเข้านาง (อาจจะต้องเรียกว่านาย…ในทีนี้) ที่ซับซ้อนกับ Craig พวกเขาทั้งสองและผู้กำกับนั่งปรึกษาถึงฉากนี้อยู่นานเป็นชั่วโมงกว่าจะคิดหาทางออกให้กับที่ฉากที่แสดงยากแสนยากนี้ได้ เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ Craig ก็จับเขายกขึ้นมาแล้วจูบ จากเท่าที่ฟังก็ดูจะเป็นการด้นสด (improvise) ของ Craig เองด้วยที่ Malek จะต้องเล่นตามน้ำไป…จะหวาดเสียวหรือชวนให้ลุ้นขนาดไหน คงต้องติดตามตอนหนังฉาย
007 คนใหม่ที่จะเป็น “ผู้หญิงผิวสี”
รายงานข่าวจาก Dailymail และ Screenrant เล่าถึงตัวละครของนักแสดง Lashana Lynch จาก Captain Marvel (2018) ที่จะมารับบทเป็น 007 อีกคน ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการสายลับ 007 ที่จะได้นักแสดงผิวสีและเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็น 007 บทบาทของเธอในเรื่องจะรับบทเป็นสายลับนักฆ่าที่ไม่ต้องขออนุญาตในช่วงที่ Bond เกษียณตัวเองไปอยู่ประเทศจาไมกาตอนต้นเรื่อง (007 เป็นเพียงรหัสของสายลับ MI6 แต่ไม่ได้หมายถึงเจมส์ บอนด์แค่คนเดียว) ซึ่งการให้นักแสดงผิวสีมารับบทนี้ ก็อาจเป็นการหยั่งกระแสของทีมผู้สร้างที่เคยมีข่าวลือว่า จะให้เจมส์ บอนด์คนต่อไปหลังจาก Craig เป็นนักแสดงผิวสี และมีชื่อ Idris Elba (Thor, Star Trek: Beyond) เข้าชื่อเป็นตัวเต็งที่จะได้รับบทอยู่
หลายปีกว่าจะหาผู้กำกับที่เหมาะสมได้
นับตั้งแต่ภาค Spectre (2015) นับเป็นเวลา 5 ปีที่หนังทิ้งช่วงนานกว่าปกติ (แต่ละภาคจะห่างกันประมาณ 2-3 ปีโดยเฉลี่ย) เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะกระแสด้านลบที่ผู้ชมมีต่อตัวหนังภาคที่แล้วที่กำกับโดย Sam Mendes (1917, American Beauty) ที่ถึงแม้จะกำกับภาคก่อนหน้า Skyfall (2012) ไว้ได้อย่างงดงามหมดจนชนิดเป็น masterpiece ของหนัง 007 ตลอดกาล (ทำรายรับรวมทั่วโลก 1,108 ล้านเหรียญฯ เป็นภาคเดียวที่ทำรายได้เกินหลักพันล้าน และคว้า 2 รางวัลออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยมจากเพลง “Skyfall” ของ Adele และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม) แต่ฟ้ากลับไม่ผ่าซ้ำที่เดิมเป็นหนสอง เมื่อ Mendes กำกับหนังภาคต่อมาได้อย่างปั่นป่วนและดูไม่สนุกใน Spectre และยังทำรายได้ต่ำกว่าเป้า
ระยะเวลาที่หายไปจึงเป็นงานหนักของทีมสร้างที่จะควานหาผู้กำกับเก่ง ๆ มาเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน โดยผู้กำกับที่เคยแวะเวียนเข้ามาเป็นตัวเลือก ไล่ตั้งแต่ Yann Demange (’71, White Boy Rick) ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ผลงานเข้าท่า และ David Mackenzie (Hell or High Water) แต่ที่ถูกอกถูกใจ Craig มากที่สุด ถึงขนาดวิ่งล็อบบี้ผู้อำนวยการสร้างให้เลือกมากำกับก็คือ Denis Villeneuve (Arrival, Sicario) ที่ตอนนั้นเพิ่งกำกับ Blade Runner 2049 (2017) เสร็จใหม่ ๆ หมาด ๆ (ทั้งใน Blade Runner 2049 และ Skyfall ต่างใช้ผู้กำกับภาพระดับเทพ Roger Deakins ทั้ง 2 เรื่อง)
หรือแม้แต่เสด็จพ่อ Christopher Nolan ที่เคยทำหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนัง Bond อย่าง Inception (2010) ก็ยังอยากมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับ ติดที่ว่าเขาขอยกเครื่องใหม่ของเรื่องราวทั้งหมด เพื่อเขียนบทตามแนวทางตัวเอง (ซึ่งก็ดูจะเป็นการขอที่มากไปไม่หน่อยแน่สำหรับทีมสร้าง) ผู้กำกับรายต่อมาที่เข้ามาเกี่ยวข้องและเกือบได้กำกับก็คือ Danny Boyle ผู้กำกับรางวัลออสการ์จาก Slumdog Millionaire (2008) ก่อนจะถอนตัวไป และมาลงตัวที่ Cary Joji Fukunaga (ซึ่งมีข่าวแซวออกมาว่า เขาติดเล่นเกมจนไม่มีสมาธิกำกับหนัง จนทำให้ Craig ต้องออกโรงเตือนให้หยุดเล่นด้วยตัวเอง)
ค่าตัวมหาศาลของ Craig ในการมารับบท Bond
Daniel Craig กลายเป็นนักแสดงที่ครองบทบาทเจมส์ บอนด์ นานปีมากที่สุดถึง 13 ปี เอาชนะสถิติ Roger Moore ผู้ล่วงลับที่เคยแสดงไว้ยาวนานถึง 12 ปี ด้วยจำนวนทั้งหมด 7 ภาค โดย Craig แสดงเป็นจำนวนทั้งหมด 5 ภาคน้อยกว่าที่ Sean Connery 007 คนแรกที่เป็นตำนานไปแล้วเล่นไว้ 6 ภาคในจำนวน 11 ปี
ก่อนหน้านี้เมื่อจบภาค Skyfall และ Spectre นักแสดงนำ Craig ก็จะออกมาบอกทุกครั้งว่า ภาคนั้นจะเป็น “ภาคสุดท้าย” ของเขา แต่แล้วก็กลับลำมารับเล่นเสมอ คล้ายกับเป็นการเรียกร้องค่าตัวเพิ่มจากผู้อำนวยการสร้าง ขนาดเนื้อหาในตอนจบของ Spectre เอง ก็ปูทางสู่การปิดฉากบทนี้ให้กับเขาอย่างสวยงามแล้วก็ตาม Craig ก็ยังกลับมารับบทที่ดังที่สุดในชีวิตของเขานี้อีกครั้งในภาค No Time to Die โดยมีข่าวลือว่า เขารับค่าตัวไปสูงถึง 50 ล้านหรียญฯ เลยทีเดียว แม้จะดูแพงแต่ก็สมน้ำสมเนื้อ เพราะ Craig ต้องใช้เงินรักษาตัว หลังจากได้รับบาดเจ็บจากการถ่ายทำจนต้องผ่าตัดเล็กที่ข้อเท้า และหยุดพักไป 2-3 สัปดาห์
ตอนจบของเรื่องที่ถ่ายทำไว้ถึง “3 แบบ”
เพื่อป้องกันความลับจากกองถ่ายรั่วไหล (ซึ่งสมัยนี้การเก็บความลับของเนื้อเรื่องหรือแม้กระทั่งบทหนังเป็นอะไรที่ยากมาก) การถ่ายทำ No Time To Die จึงใช้วิธีถ่ายตอนจบไว้ถึง 3 แบบ รายงานจาก The Mirror บอกว่า Fukunaga ผู้กำกับถ่ายฉากจบไว้ 3 แบบเพื่อป้องกันเนื้อหาของตอนจบจะหลุดออกมา แม้แต่ดารานำอย่าง Craig เองก็ยังไม่รู้ว่าฉากไหนคือตอนจบของจริง โดยมีฉากหนึ่งที่เพิ่งถ่ายทำในสัปดาห์ก่อน เป็นฉากระเบิดที่มีผู้คนอยู่ท่ามกลางแก๊ซบนฟลอร์เต้นระบำ ส่วนอีกแหล่งข่าวก็บอกว่าบอนด์จะถูกฆ่าในตอนจบของภาคนี้เพื่อส่งต่อหน้าที่ให้กับ 007 คนต่อไป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส