Our score
6.8Paradise Hills
จุดเด่น
- ภาพของหนังสวยมาก
- งานออกแบบงานสร้างดีมาก
จุดสังเกต
- บทหนังใส่ประเด็นสังคมเยอะเกินจนเล่าเรื่องเป๋
- ขาดความสนุกในการเล่าเรื่อง
-
ความดีงามของบทหนัง
6.5
-
คุณภาพนักแสดง
6.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
ความสนุกน่าติดตาม ความแปลกใหม่
8.0
-
คุ้มค่าตั๋ว
6.5
เมื่อการทำตามหัวใจเป็นสิ่งผิด อูมา (เอมมา โรเบิร์ตส์) ถูกจับส่ง พาราไดซ์ สถาบันดัดนิสัยที่ชื่อเหมือนสรวงสรรค์ หลังจากเธอพยายามหนีงานแต่งงานคลุมถุงชน ที่นั่นเธอต้องเข้าร่วมการอบรมบ่มเพาะความเป็นกุลสตรีกับ นายหญิง (มิลลา โจโววิช) ผู้เด็ดขาดและมีความลับดำมืด จนทำให้ภายใต้ความงดงามของพาราไดซ์อาจซ่อนความลับน่าสะพรึงกลัวที่รอการพิสูจน์ก็เป็นได้
Paradise Hills คืองานบ้าพลังแบบมีอะไรใส่หมดของ อลิซ แวดดิงตัน ผู้กำกับที่คร่ำหวอดจากการทำงานในกองถ่ายแล้วพัฒนาฝีมือจนได้ทำหนังสั้น Disco Inferno ในปี 2015 และจากโพรไฟล์ที่เคยทำงานทั้ง ช่างภาพแฟชัน, ผู้ช่วยฝ่ายกล้องในกองถ่าย, ผู้ช่วยงานตัดต่อ และนักออกแบบเครื่องแต่งกาย เราจึงได้เห็นความหลุดโลกทว่าสร้างสรรค์ในงานออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและงานกำกับศิลป์ จนกระทั่งได้มีโอกาสพัฒนาจากหนังสั้นมาเป็น Paradise Hills เรื่องนี้ โดยยึดแก่นเรื่องว่าด้วยการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพของเพศหญิงเป็นหลักแล้วเสริมด้วยงานเสื้อผ้าและกำกับศิลป์ที่สร้างสรรค์ให้เห็นความงามอันน่าสะพรึงกลัวและสื่อความหมายลึกซึ้งเช่น การลิดหนามกุหลาบของนายหญิงเปรียบเทียบกับการเอาพิษสงออกจากตัวสาว ๆ ในปกครอง หรือ ป่าไผ่ ที่ดูจะสื่อความหมายถึงการโอนอ่อนผ่อนตามเหมือนไผ่ลู่ลม แทรกไปกับดอกไม้หลากสีสีนโทนพาสเทลที่ดูสวยงามเกินจริง
ซึ่งว่ากันตามตรงแล้ว หน้าหนังของ Paradise Hills เองก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อย และการพยายามแทรกประเด็นทางสังคมก็นับว่าน่าสนใจดี แต่…ปัญหาคือปมปัญหาที่หนังพยายามยัดให้ตัวละครดันซับซ้อนและไม่ให้เวลาเราได้รู้จักกับแต่ละตัวดีพอเลยส่งผลให้เราไม่เชื่อในการตัดสินใจและไม่อยากเอาใจช่วยตัวละครสักตัวเลยนี่สิ
โดยเฉพาะตัว อูม่า ที่หนังเลือกเปิดเรื่องด้วยงานแต่งงานของเธอกับไฮโซหนุ่มที่พ่อแม่เลือกให้ ก่อนจะย้อนอดีตไปเหตุการณ์ที่พาราไดซ์เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเลย ซึ่งบอกตามตรงคือแม้ว่าหนังจะตัดกลับมาเล่าแล้วหักมุม แต่ก็เป็นการหักที่เดาทางได้ง่ายมาก แถมต่อจากนั้นถึงเราจะได้รับรู้ข้อมูลตัวละครจากห้องม้าหมุนที่บังคับให้เธอดูวbดีโอโฆษณาชวนเชื่อให้หลงรักว่าที่สามีคล้ายฉากดัดสันดานเยาวชนใน Clockwork Orange ของ สแตนลี คูบริก ก็ตาม แต่ด้วยบทหนังที่พยายามถ่างประเด็นจากแค่ เฟมินิสต์ ไปสู่ประเด็นชนชั้นก็ทำให้หนังเดินเรื่องแบบไร้ทิศทาง โดยในห้องเดียวกันในซีนถัดมาหนังก็เล่าถึงตอนที่พ่อเธอเสียชีวิตแถมยังบอกด้วยนะว่า เจ้าบ่าวของเธอเป็นตัวการ จนคนดูเริ่มงงหนักว่าไอ้ห้องนี้อยากให้ อูม่า รักหรือเกลียดเจ้าบ่าวกันแน่ 555
และมิหนำซ้ำ มันยังใส่ตัวละครแวดล้อมที่ไม่ช่วยให้เรื่องเดินหน้ามารายล้อม อูม่า ทั้ง โคลอี (ดาเนียล แมกโดนัลด์) สาวตุ้ยนุ้ยที่ถูกส่งมารีดหุ่น หรือ ยู (อควาฟีนา) สาวจีนที่ทางบ้านส่งมาดัดนิสัยให้เป็นกุลสตรี รวมถึง อมาร์นา (เอลซา กอนซาเลซ) นักร้องดังที่ถูกทีมงานส่งมาปรับทัศนคติ ซึ่งลำพังไอ้การบอกว่า พาราไดซ์ มันรักษาได้ทุกโรคก็ว่าแปลกแล้ว แต่การรวมตัวของตัวเอกไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า เล่นโยคะ, วิ่งเล่นในป่าไผ่ หรือเสริมสวย ทั้งที่ปากพวกเธอบอกตลอดเวลาว่าที่นี่มีอะไรแปลก ๆ งงมั้ยครับ? เพราะหนังมัวไปเสียเวลากับฉากโชว์ภาพสวย ๆ จนคนดูที่ลุ้นว่า เอ้อ มันจะมีตัวอะไรโผล่มาหรือมันจับสาว ๆ ในเรื่องไปทำอะไรให้ตื่นเต้นหรือเปล่า รอเก้อไปร่วมชั่วโมง ยังดีที่ 20 นาทีสุดท้ายเหมือนหนังรู้ตัวเลยเร่งจังหวะใส่ซีนหนี ซีนตื่นเต้น แถมยังแฟนตาซีหลุดโลกไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วหักมุมไปเป็นหนังสยองขวัญอารมณ์ The Island of Dr. Monroe ที่ทำให้ภารกิจของพาราไดซ์ที่พยายามปรับทัศนคติดูไม่มีความสำคัญและขัดแย้งกันเองในเชิงตรรกะไปอย่างน่าเสียดาย
หนังได้รวมนักแสดงทั้งหน้าเก่าอย่างเจ๊ มิลลา โจโววิช ที่ช่วงหลังหันมาเอาดีเล่นเป็นตัวประหลาดตั้งแต่ Hellboy เมื่อตอนต้นปี และสำหรับบทนายหญิงใน Paradise Hills เธอก็ยังทำหน้าที่ได้ดีหลายตอนดูน่าสะพรึงกลัวอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ ทั้ง เอมมา โรเบิร์ตส์ ที่ก็ยังไม่สามารถไปแตะความสำเร็จของน้าสาวอย่างจูเลีย โรเบิร์ตส์ได้ ส่วนอควาฟีนาหลังจากโด่งดังจาก Crazy Rich Asians นี่ก็ยังไม่ใช่บทที่ส่งเสริมเธอเท่าใดนักเช่นเดียวกับ เอลซา กอนซาเลซ จาก Baby Driver ที่แค่มาโชว์หน้าสวย ๆ เท่านั้นเอง
สรุปแล้ว หากใครต้องการดูงานอาร์ตไดเรกชันสวย ๆ แนะนำครับ แต่หนังมีปัญหาในการเล่าเรื่องมากอย่างที่กล่าวไป เชื่อว่าถ้าหนังให้เวลากับการทำบทภาพยนตร์ให้กลมกล่อมกว่านี้ อาจได้งานเซอร์เรียลที่ดูล้ำลึกก็ได้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส