Our score
8.7โลกใบนี้ที่ว่ากลม Behind the Curve (2018)
จุดเด่น
- เป็นสารคดีที่มีข้อมูลเยอะ แต่เล่าเรื่องได้สนุกและไม่น่าเบื่อ
- ลำดับภาพได้ดี ใช้ประโยชนร์จากภาพในการเล่าเรื่องได้คุ้มค่า
- ถ่ายทอดความจริงได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่ยัดเยียดความคิดหรือตัดสินแทนคนดู
จุดสังเกต
- มีการพูดถึงข้อมูลเชิงวิชาการเยอะในระดับถึง อาจน่าเบื่อนิดนึงสำหรับใครที่ไม่ได้สนใจหรือไม่อินเรื่องเฉพาะกลุ่มแบบนี้
-
ความสมบูรณ์ของบท
9.0
-
คุณภาพงานสร้าง
8.0
-
คุณภาพนักแสดง
9.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.5
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
9.0
“คนบ้าไม่ใช่คนที่คิดต่าง แต่คนที่ไม่เรียนรู้จากความแตกต่างนั่นแหละที่บ้า”
เชื่อว่าหากย้อนไปเมื่อหลายสิบปีที่แล้วคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่า เทคโนโลยีทางการทหารที่คิดค้นขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารในสงครามนั้น จะเป็นต้นกำเนิดของ ‘อินเทอร์เน็ต’ สิ่งหนึ่งอันเป็นปัจจัยสำคัญของโลกเราในยุคปัจจุบัน
…และใครจะไปคิดล่ะว่า ‘คอมพิวเตอร์แท็บแล็ต’ ที่อยู่ในหนังเรื่อง ‘Star Trek’ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว จะกลายมาเป็นอุปกรณ์ที่เราเอาไว้นอนดูซีรีส์เรื่อง Star Trek ได้ง่าย ๆ ในทุกวันนี้! แล้วคุณเชื่อไหมล่ะว่า? ในยุคที่มนุษย์เราทะเยอทะยานออกไปค้นหาความเป็นจริงมาแล้วมากมาย ทั้งอวกาศกว้างใหญ่และก้นทะเลที่ลึกเกินบรรยาย แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเชื่อว่า ‘โลกใบนี้แบน’ แถมกลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีจำนวนน้อย ๆ ซะด้วยสิ…
เรื่องย่อ ‘โลกใบนี้ที่ว่ากลม | Behind the Curve (2018)’
เรื่องราวมันเริ่มต้นจากสมาชิกตัวท็อปของกลุ่ม Flat Earther ที่มีชื่อว่า Mark Surgent ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าโลกกลมมานานไม่ต่างจากใคร ๆ แต่อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้บังเอิญเจอกับคลิปยูทูบของอดีตลูกจ้างขององค์กร NASA คนหนึ่งที่มีความเชื่อว่าโลกแบน แต่ยิ่งเขาพยายามอธิบายสมมติฐานของเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งกลายเป็นตัวตลกในสายตาของใครต่อใครมากขึ้นเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดล่ะว่านั่นแหละที่เป็นตัวจุดประกายความสนใจของ Mark Surgent เข้าอย่างจัง เขาจึงพยายามค้นคว้าในแทบทุกข้อมูล(บนโลกอินเทอร์เน็ต) เท่าที่เขาจะหาได้ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที เขาก็กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญของชาว Flat Earther ไปซะแล้ว และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่สารคดีเรื่องนี้จะพาเราไปรู้จักกับโลกใบใหม่ใบนี้ได้อย่างเจาะลึกและเป็นกลางที่สุด ในแบบที่เราคนดูสามารถเต็มใจและเปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่างนี้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ
- ประเภท : ภาพยนตร์สารคดี
- กำกับ : ดาเนียล เจ. คลาร์ก
- ช่องทางการรับชม : www.netflix.com
ความรู้สึกหลังดู ‘โลกใบนี้ที่ว่ากลม | Behind the Curve (2018)’
ต้องบอกกันตามตรงว่าสำหรับสารคดีโลกแบนเรื่องนี้ แค่ Synopsis คร่าว ๆ ที่เห็นอยู่บนหน้าหนัง ก็สามารถดึงดูดให้คนกดเข้าไปดูต่อได้อย่างไม่ยากเย็นแล้วล่ะ เพราะเราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงอยากจะรู้เหมือนกันว่าในยุคสมัยนี้ กลุ่มคนที่ยังคงเชื่อว่า ‘โลกแบน’ นั้น เขาจะเป็นคนแบบไหน? ใช้ชีวิตยังไง? แล้วอะไรที่ทำให้เขาเชื่อแบบนั้น?
ซึ่งแน่นอนว่าสารคดีสามารถพาเราดำดิ่งและจมลงไปได้ลึกมากพอที่จะเปลี่ยนอคติของคนนอกอย่างเรา ๆ ที่อยากจะท้าทายทฤษฎีสุดโต่งของพวกเขา ด้วยการพยายามเปิดใจฟังข้อพิสูจน์ต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อดูสารคดีเรื่องนี้จบ ความคิดท้าทายก็เปลี่ยนไปเป็นความเข้าใจและการยอมรับกฎของการอยู่ร่วมกันบนความคิดต่างได้มากขึ้น นี่แหละสิ่งแรกที่เราจะได้จากสารคดีเรื่องนี้ และมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้
ต้องชื่นชมว่าตัวสารคดีทำได้ดีมากในการนำเสนอมุมมองของคนที่มีความเชื่อว่าโลกแบน มาถ่ายทอดและสื่อสารกับคนดูที่แน่นอนว่าส่วนใหญ่ต้องคิดต่างกัน ให้ออกมาได้อย่างเป็นกลางและไม่ตัดสินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้จริง ๆ ด้วยการตัดสลับฟุตเทจไปมาระหว่างภาพวิถีชีวิตอันแสนปกติสุขของเหล่าบรรดาสมาชิกกลุ่ม Flat Earther ระดับท็อป ที่ทำให้เราได้เห็นอุปนิสัย การใช้ชีวิต และความรู้สึกโดดเดี่ยวที่คนเหล่านั้นต้องเผชิญ จากการถูกผลักไสจากครอบครัวและคนรอบข้างเพียงเพราะพวกเขาเชื่อว่า ‘โลกแบน’ ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้วลัทธิหรือสมาคมกลุ่มนี้จึงไม่ต่างอะไรกับ ‘ที่เพิ่งทางจิตใจ’ ของเหล่าคนที่คิดต่างก็เท่านั้น
สารคดีจึงพยายามถ่ายทอดให้เราเห็นว่าพวกเขาก็เหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีความผิดปกติ ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงขนาดที่จะต้องตกเป็นตัวตลกของสังคมไหน ๆ มันจึงถูกตัดสลับกับภาพกับเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่ก็มีข้อเท็จจริงมากมายที่จะนำมาโต้แย้งกับฝั่งตรงข้ามได้อย่างสมเหตุสมผลและพิสูจน์ได้ ในแบบที่ไม่ทำให้เรารู้สึกได้ถึงการดูถูก หรือเกิดเป็นการ Bully กันแต่อย่างใด มันจึงทำให้เราคนดูรู้สึกดูสนุกเพลิดเพลิน พร้อมกับเปิดโลกใหม่ที่เราแทบไม่เคยคิดจะเข้าไปสนใจเลยด้วยซ้ำ
น่าประทับใจที่จุดไคลแมกซ์ของสารคดีอันนี้คืองานประชุม ‘Flat Earth Conferance International’ การประชุมระดับนานาชาติของกลุ่มคนที่เชื่อว่าโลกแบน โดยที่มีคนสนใจซื้อบัตรเข้าร่วมงานนี้มีจำนวนถึงหลักพันคน! แถมยังมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ชุดข้อมูลคร่าว ๆ เหล่านี้ที่สารคดีพยายามจะถ่ายทอดออกมามันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกขำขันหรือรู้สึกดูถูกคนกลุ่มนี้แต่อย่างใด แต่มันกลับทำให้คนดูสารคดีสามารถตกตะกอนในความคิดของตัวเองได้ข้อนึงว่า “ความเชื่อนั้นแข็งแกร่งกว่าความจริงได้เสมอ ถ้ามันยิ่งใหญ่พอ”
และไม่ว่าทฤษฎีสมคบคิดเหล่านี้จะมีความจริงแท้อยู่ในนั้นมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนจบของสารคดีเรื่องนี้คงไม่ใช่ใครเป็นผู้ชนะบนสังเวียนรูปทรง แต่มันคือความประทับใจที่เราสามารถเปิดใจดูและรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของความเชื่อที่เราไม่แม้แต่จะพยายามเชื่อเป็นชั่วโมง ๆ ได้ โดยที่เราแทบไม่ได้เอาความคติดของตัวเองลงไปตัดสินพวกเขาแม้แต่นิดเดียว เพราะมันไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง แต่มันทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ทุกคนมีจะสิทธิ์เชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากเชื่อก็เท่านั้นเอง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส