Our score
9.0Marriage Story
จุดเด่น
- เรื่องรักร้าว เล่าเรียบ ๆ แต่เจ็บลึก
- สกาโจ กับ พี่อดัม คือที่สุดของการกระชากอารมณ์คนดูแล้วแก
จุดสังเกต
- หนังเล่าด้วยบทสนทนาเยอะหน่อย แต่คม และ จริง นะแก
-
เรื่อง(ไม่)รัก ทำเราอินแค่ไหน
9.0
-
ถ่ายภาพ ตัดต่อ เรื่องรัก ๆ เลิก ๆ
9.0
-
พี่อดัม กับ สกา โจ เล่นดีแค่ไหน
9.0
-
ความเจ็บปวด เคล้าเสียงขำขื่น ๆ
9.0
-
น่าเสียเวลาชมมั้ย
9.0
แก,
วันนี้ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เราเลยเปิด Netflix หาอะไรดูฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ในขณะไล่ลิสต์หนังที่ดองเค็มไว้ก็พลันสะดุดกับลิสต์หนังในแถวที่เพิ่งลงสตรีม จนได้เจอหนังชื่อแปลกอย่าง Marriage Story ของพี่ โนอาห์ บอมแบค แกจำหนังพี่เค้าได้ป่ะ พวก Margot at the Wedding (2007) หรือ จะเป็น The Squid and the Whale (2005) ที่แกเคยด่าเราว่าหนังบ้าอะไรมีแต่คนคุยกัน แต่ที่แกไม่รู้คือหนังของเขาแม่งทำเราซึมทุกเรื่องเลยเว้ย คือมันอาจจะไม่ได้ซึ้ง ไม่ได้เศร้าแบบหนัง หรือซีรีส์เกาหลีที่แกดูนะ แต่หนังเขามันค่อย ๆ บ่อนเซาะหัวจิตหัวใจคนดูอ่ะวะ ในสถานการณ์ธรรมดาพอมันมาเกิดขึ้นอีกครั้งตอนตัวเอกไม่เหลือใครแล้วแม่งโคตรเหงาเลย แล้วหนังพี่เค้ามักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก อะไรเทือกนั้นอยู่เป็นประจำ แต่เอาล่ะวันนี้ฉันจะเล่าเกี่ยวกับหนังใหม่พี่เค้าให้ฟัง
พลอตของ Marriage Story ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าเรื่องการหย่าร้างของ ชาร์ลี (อดัม ไดร์ฟเวอร์) ผู้กำกับละครเวทีจอมติสต์ เจ้าระเบียบ กับ นิโคล (สการ์เลตต์ โจแฮนสัน) นักแสดงสาวที่อยากกลับมาเป็นดาราในจออีกครั้ง หลังจากนางตามใจสามีด้วยการเล่นละครเวทีของเขามานาน ทีนี้ ชาร์ลี กับ นิโคล ก็อยู่กันจนมี เฮนรี (อาซีห์ โรเบิร์ตสัน) ลูกชายที่มีพัฒนาการการอ่านช้าคนนึงเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่อย่างว่าว่ะ คนมันหมดใจ ให้โซ่หนาแค่ไหนมันก็ขาดได้ทั้งนั้นอ่ะ ทั้งที่ทั้งคู่ก็พยายามหาคนไกล่เกลี่ยและชาร์ลีพยายามวางแผนเรื่องแยกกันอยู่แล้ว แต่เป็นฝ่ายนิโคลที่ทนไม่ไหว หอบเฮนรีข้ามรัฐจากนิวยอร์กไปลอส แองเจลลิส ที่ ๆ ที่นางต้องไปถ่ายตอนไพลอตของซีรีส์เรื่องใหม่ แล้วอยู่ดี ๆ นางก็กลับใจจากตกลงแยกกันอยู่กลายเป็นการฟ้องหย่า ซึ่งนางก็ได้ นอรา (ลอรา เดิร์น) ทนายสาวเขี้ยวลากดินมาว่าความให้ แล้วยัยนอราก็เล่นงานชาร์ลีหนักมากจนในที่สุดจากคู่รักก็กำลังจะกลายเป็นคู่ร้าง เรื่องถีงโรงถึงศาลเพื่อขอสิทธิเลี้ยงดูเฮนรี แต่ยิ่งต่อสู้กัน..สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือใจตัวเองนี่แหละ จนในที่สุดเราก็เริ่มเห็นทั้งคู่ค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ที่สร้างกันมาอย่างยาวนานด้วย อคติ ความหยิ่งผยอง จนเหตุผลที่เคยทำให้ทั้งคู่รักกันกลายเป็นข้ออ้างมาใช้ห้ำหั่นกันในคดีที่ไม่มีใครชนะแล้วมีความสุขอย่างแท้จริงเลยซักฝ่าย
เอาจริง ๆ หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคอตรูมดราม่าหรือการต่อสู้ในชั้นศาลเหมือนหนังครอบครัวรักร้างเรื่องอื่นหรอก เพราะมันไปเน้น อารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละฝ่ายมากกว่า อย่างฝ่ายนิโคลเอง นางก็พยายามจะไกล่เกลี่ย แต่อยู่ดี ๆ เอเจนต์นางก็แนะนำทางออกแบบเซฟตี้คัตด้วยการโยน นอรา เข้ามาในสมการความสัมพันธ์ที่กำลังหมดลงครั้งนี้จนจากที่เคยต้องการให้ชาร์ลีย้ายมาอยู่ลอส แองเจลลิส เพื่อให้แบ่งเวลาดูแลเฮนรี กลายเป็นการฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดู ที่นางก็ไม่ต้องการแต่จำยอมให้ทนายดำเนินการตัดสัมพันธ์และขูดทรัพย์สินอีกฝ่ายเพื่อหวังเดินออกจากความสัมพันธ์และชีวิตที่เคยถูกครอบงำได้เร็วขึ้น ส่วนตาชาร์ลี นี่ไม่รู้จะน่าสงสารดีหรือเปล่า เพราะนางเองก็มีชนักติดหลังเคยแอบกินเพื่อนร่วมงานจนกลายเป็นช่องให้ นอรา ใช้โจมตีได้ แต่แทนที่เราจะเกลียดนาง ในหนังเรากลับเห็นนางพยายามเดินทางจากนิวยอร์กมาใช้เวลาอยู่กับลูก แถมพยายามเอาใจลูกให้ดีที่สุด ในขณะที่ก็ต้องบินกลับนิวยอร์กเพื่อหาเงินมาใช้สู้คดี แถมหลายโมเมนต์เรายังเห็นทั้งคู่ดูมีเยื่อใยให้กันอยู่ และ พยายามประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ เฮนรี ไม่รู้สึกขาดพ่อหรือแม่ไป แต่ที่ยากที่สุดก็เรื่องตัดใจให้ไม่รักนี่แหละ โคตรยากเลย
เราชอบบทสนทนาที่พี่โนอาห์ บอมแบค เขียนมาก เป็นหนังคนเลิกกันที่แต่ละฝ่ายพยายามพูดแต่สิ่งดี ๆ ของกันและกัน เพื่อพยายามให้ “จบสวย” ทื่สุด แต่ในความสัมพันธ์แบบคนรัก มันจบสวยได้ด้วยหรือวะแก? แล้วที่สำคัญตอนจะรักกันแทบไม่มีเงื่อนไข แต่เวลาจะเลิกกัน..เหตุผลแม่งเยอะไปหมด ในฝั่งนิโคลก็เอาเรื่องชาร์ลีไม่ยอมย้ายมาอยู่ลอส แองเจลลิสเป็นที่ตั้ง ส่วนชาร์ลีก็อ้างว่าเขาสร้างชื่อเสียงให้เธอในนิวยอร์กและพยายามสร้างครอบครัวที่นั่น แม้เหตุผลชาร์ลีจะดูเห็นแก่ตัวและเอางานเป็นที่ตั้ง แต่พอเป็นเรื่องครอบครัวเขากลับเลือก เฮนรี ก่อนนะเว้ย แต่จะโทษ นิโคล ก็ไม่ถูก นางก็บอกตอนเล่นละครให้ชาร์ลี นางถูกละเลย หมดความสำคัญในขณะที่ลอส แองเจลลิส นางคือดาราเด่น และนางอยากจะกลับมาสร้างชื่อให้ตัวเอง ที่สำคัญคือนางอยาก “กำกับ” ผลงานที่ ชาร์ลี ไม่เคยให้โอกาสสักครั้ง ที่สำคัญนะไอ้เรื่องลอส แองเจลลิส กับ นิวยอร์ก เนี่ยหนังเอามาอธิบายตัวละครได้โคตรเคลียร์เลยว่ะ เพราะในฝั่งลอส แองเจลลิส ทั้งทนายและนิโคลเองยกเรื่อง พื้นที่ ซึ่งก็ไม่ใช่พื้นที่อะไรหรอก คือพื้นที่ที่ให้นิโคลได้มีที่ยืนบ้าง ในขณะที่นิวยอร์กด้วยความเป็นเมืองที่ค่อนข้างหนาแน่น ชาร์ลี ก็มีแต่พื้นที่ของชาร์ลีที่ต้องมีเฮนรีและนิโคลอยู่ด้วย เมื่อพื้นที่ของฉัน ไม่ใช่พื้นที่ของเธอ ก็ยากจะอยู่ด้วยกันแหละเนอะ แกว่าเรื่องนี้ฟังดูคุ้น ๆ มั้ยวะแก?
คุยกันล่าสุดเห็นแกชอบถ่ายภาพ Marriage Story ก็มีงานภาพน่าสนใจนะเว้ย โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ในภาพที่ถ่ายตัวละครเนี่ยแหละ ที่ช่วงแรก ๆ ตอนเกริ่นเรื่องด้วยบทบรรยายของ ชาร์ลี กับ นิโคล ภาพดูเป็นกลุ่มก้อนในเฟรมเห็นพ่อแม่ ไม่ก็ พ่อแม่ลูก แต่หลังจากทั้งคู่เข้าพบคนไกล่เกลี่ยและเราเริ่มเก็ตว่า เฮ้ย ! นี่มันไม่ใช่หนังรักนี่หว่า เราแทบไม่เห็นทั้งคู่ร่วมเฟรมกันเลย ยิ่งตอนอารมณ์มาคุ หรือตอนที่ตัวละครอึดอัด พี่โนอาห์ กับตากล้องอย่าง รอบบี ไรอัน เล่นเอาเลนส์จ่อหน้าตัวละครเลย ผลก็คืออารมณ์มาเต็มเว้ยแก แบบไม่กล้าเปิดดูในสตาร์บักเลยว่ะ กลัวร้องไห้ ฮ่าาาาาา. ต้องแอบกลับมาเปิดที่ห้องตัวเองแล้วปล่อยน้ำตาไหลตามตัวละครไป เว่อร์ป่ะ.. แต่มันจริงนะเว้ย..
เอ้อ ต้นปีแกได้ดู Avengers Endgame ป่ะวะ เรื่องนั้น “สการ์โจ” ว่าทำเราซึ้งจนประหลาดใจแล้วนะ เรื่องนี้แม่ง MVP ว่ะ มีอยู่ฉากนึงเหมือนจะธรรมดา เป็นตอนชาร์ลีวิจารณ์การแสดงของนาง พอฟังจบนางหันหลังมาแล้วค่อย ๆ ร้องไห้ตลอดทางจนล้มตัวลงเตียง โหย…ใครไม่ร้องตามนี่โคตรใจแข็งเลย นี่เชียร์ให้มีชื่อ สการ์เล็ตต์ โจแฮนสัน เข้าชิงออสการ์ปีหน้าเลยนะเนี่ย บทนิโคลนี่ตัดเกรด อัปเวลนางจริง ๆ ว่ะ ส่วนพี่อดัม ไขควง เอ้ย ไดร์ฟเวอร์ ที่เรากำลังจะได้ดู Star Wars The Rise of Skywalker กันอีกไม่กี่วันแล้วเนี่ย อันนี้เซอร์ไพร์สจริง ก่อนหน้านี้อ่านบทความนึง นางบอก Marriage Story นี่ยากทุกซีน ตอนแรกก็ว่าเฮ้ย เว่อร์ป่ะ แต่พอดู.. โอ้โห !การแสดงคือขั้นเทพมาก ไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนร้องไห้ได้จริง และเจ็บลึกขนาดนี้ ที่สำคัญมันคือน้ำตาลูกผู้ชายที่ดูคุ้น ๆ เหมือนกันนะ คือตัวละครของนางไม่อยากให้เรื่องหย่ากลายเป็นชนวนให้เกลียดคนรัก และไม่อยากให้เรื่องราวดี ๆ ในอดีตจบเป็นเพียงบทละครโศกนาฏกรรม ประทับใจเพลงที่นางร้องในเรื่องมาก มันบอกไม่ถูกว่าเพราะหรือเปล่า แต่เนื้อเพลงประมาณว่า รักในทุกสิ่งที่ดูน่ารำคาญ เพราะมันเกิดขึ้นตอนที่เรารักกัน ซึ่งก็แปลกเนอะ…ฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะรักในเสียงปลุกยามเช้า ต้องตัดผมให้คนในครอบครัว หรือตามซักผ้าที่วางเกลื่อนบ้านได้ แต่ก็เป็นความรู้สีกดี ๆ ที่คนรักมีให้กันไม่ใช่เหรอวะ ที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นมันพิเศษ ?
ก็ไม่รู้ว่าดูแล้วแกจะชอบมั้ยนะ แต่ถ้าลองเปิดใจดูให้ผ่านสัก 10 -15 นาทีแรกของหนังไปได้ แกอาจจะรักมันเหมือนเราก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม่งโคตรยากเลยที่ดูแล้วจะไม่นึกถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ผ่านมา หรืออย่างน้อย ๆ ตอนแกไม่ได้อยู่กับแฟน หรือ ว่าง ๆ ลองกดตรงนี้ดูใน Netflix นะ
ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงแกว่ะ,
เพื่อนคนหนึ่ง..
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส