Our score
8.3Last Christmas
จุดเด่น
- การวางคาแรกเตอร์และนักแสดงเสริมบทได้ดีมาก
- บทดัดแปลงตีความเพลงคลาสสิกใหม่ได้สวยงาม
- มุกตลกน่ารัก ดูง่าย ดูเพลิน มีความอิ่ม
จุดสังเกต
- หนังมีสปอยล์รุนแรงและตัวอย่างหนังเองก็หลุดสปอยล์ตัวเองด้วยดิ
- การเฉลยพลอตสำคัญน่าจะมีคนไม่ชอบได้
-
ความสมบูรณ์ของบท
8.5
-
คุณภาพงานสร้าง
8.5
-
คุณภาพนักแสดง
8.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.0
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
8.0
เรื่องย่อ เคท (เอมิเลีย คลาร์ก) แต่งตัวรุ่มร่ามอยู่ในชุดเอลฟ์ เธอทำงานอยู่ในร้านขายของคริสต์มาสในลอนดอน กำลังอยู่ในช่วงย่ำแย่ในชีวิต และทอม (เฮนรี่ โกลดิ้ง) ชายหนุ่มที่ดูดีเกินจริงได้เข้ามาในชีวิตเธอและพาเธอก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิต และลอนดอนก็เข้าสู่ช่วงมหัศจรรย์ของปี บางครั้ง คุณก็เพียงแค่ปล่อยให้หิมะตกไป ฟังเสียงของหัวใจ และมีศรัทธา
นี่คือหนังที่ผู้กำกับ พอล ฟีก จาก Bridesmaids (2011) และ Ghostbusters (2016) กับมือเขียนบทที่ลงทุนมาเล่นบทแม่นางเอกเองด้วยอย่าง เอมม่า ธอมป์สัน จาก Sense and Sensibility (1995) โดยทั้งคู่หมายมั่นปั้นมือนำบทเพลงดังที่สุดแห่งเทศกาลคริสต์มาสสมัยใหม่อย่าง Last Christmas ของวง Wham! ที่ประกอบด้วย 2 ดูโอหนุ่มจากอังกฤษแห่งยุค 80s คือ จอร์จ ไมเคิล และ แอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ มาตีความใหม่ ซึ่งบทเพลงเดิมนั้น ริดจ์ลีย์เคยนิยามไว้ตอนที่ได้ฟังไมเคิลร้องให้ฟังครั้งแรกว่า “คือช่วงเวลาแห่งความอัศจรรย์ใจ” ในขณะที่ คริส พอร์เตอร์ ผู้คุมการบันทึกเสียงเพลงนี้ก็ให้นิยามที่ตรงใจกับหลายคนที่ฟังเพลงนี้ว่า มันคือ “ท่วงทำนองแห่งความสุข ที่แสนเศร้าด้วยรักอันไม่สมหวัง”
และนิยามของพอร์เตอร์นี้เองก็สะท้อนมาอย่างชัดเจนในหนัง ด้วยฝีมือของฟีกกับธอมป์สัน
หนังให้ เคท เป็นศูนย์กลางของโลก ทุกอย่างถูกมองผ่านเล่าผ่านไม่เพียงสายตาของเธอ แต่ยังด้วยทัศนคติของเธอด้วย เปิดเรื่องเธอถูกตราหน้าจากเพื่อนสนิทหลายต่อหลายคนที่เธอไปขออาศัยนอนระหว่างทำงานล่าฝันการเป็นนักร้อง ว่าเธอคือ “คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก” และแม่มังกร เอมิเลีย คลาร์ก (จาก Game of Thrones) ก็ถ่ายทอดตัวละครนี้ได้อย่างดูมีเนื้อมีหนังมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เธออาจไม่ได้เฉิดฉายเด่นเด้งในการเป็นนางเอก แต่เธอมีเสน่ห์และเป็นพระอาทิตย์ตามธรรมชาติที่ตัวละครทั้งหลายและผู้ชมต่างยอมหมุนรอบเธอได้ ต้องมองว่าเคทเองก็เป็นคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจในตัวอยู่แล้ว เธอเป็นลูกหลานชาวยูโกสลาเวียที่ย้ายถิ่นฐานมาอังกฤษหลังโซเวียตแตก เธอเป็นนักร้องในโบสถ์เสียงพรสวรรค์ในวัยเด็ก เธอสวยเธอสาวและมีความฝัน
แต่ภาพตรงหน้าที่เราเห็นคือเคทเป็นตัวละครที่พังทลาย เธอล้มเหลวในฐานะเพื่อน (ไม่มีใครอยากช่วยเธออีก) ในฐานะแฟน (เธอเจอแต่คนที่ไม่ใช่) ในฐานะลูก (เธอเบื่อแม่ของเธอ) ในฐานะน้องสาว (เธอทะเลาะกับพี่สาวขั้นไม่มองหน้า) และในฐานะลูกจ้าง (เธอพลาดในงานง่าย ๆ) แต่ก่อนเราจะเชื่อเช่นนั้น หนังให้คำใบ้สำคัญจากนายจ้างของเธออย่าง ซานต้า (มิเชลล์ โหย่ว) ว่าครั้งหนึ่งเธอรู้สึกโชคดีที่ได้เคทมาเป็นพนักงานประจำแต่หลังจากเธอกลับมาทำงานอีกครั้งทุกอย่างพลิกเป็นหน้ามือหลังทีน นั่นคือกลเม็ดของการเล่าเรื่องที่หนังค่อย ๆ ปล่อยให้เรารู้จักเคทว่าอะไรทำให้เธอกลายมาเป็นแบบนี้ และแน่นอนการมาของผู้ชายแสนดีและเป็นปริศนาราวกับเทพบุตรผู้มาเยือนงานเทศกาลท้ายปี อย่าง ทอม (เฮนรี่ โกลดิ้ง จาก Crazy Rich Asians) ผู้จะเข้ามาเปลี่ยนมุมมองและหัวใจของเธอให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง นั้นจะเพียงพอให้เธอผ่านวันคืนเฮงซวยในชีวิตของเธอได้หรือไม่
จริง ๆ หนังเรื่องนี้มีจุดสปอยล์อย่างร้ายกาจอยู่ เราจึงขอข้ามความดีในส่วนเนื้อเรื่องไปแต่เพียงเท่านี้ ยืนยันได้เพียงว่ามันคือเรื่องราวอบอุ่นหัวใจและมหัศจรรย์สมวันคริสต์มาสมาก ๆ
ข้อดีของหนังในจุดอื่น ๆ ที่ต้องว่ากันคือ โพรดักชันที่สะท้อนวิสัยทัศน์รวมของหนัง ว่าจะทำให้คริสต์มาสนั้นพิเศษและผู้ชมต้องมนต์เทศกาลความสุขนี้อีกครั้ง เราจะได้เห็นฉากในกรุงลอนดอนที่สวยและเรียบง่ายอย่างทางเดิน ตรอกซอย หรือสวนสาธารณะเล็ก ๆ ที่ประดับประดาด้วยแสงไฟเหนือจริง ยิ่งฉากร้านขายของคริสต์มาสที่นางเอกทำงานอยู่นี่เหมือนฝันจริง ๆ วิธีคิดด้านภาพเองก็สะท้อนมุมนี้ออกมาด้วยเพราะภาพใสอบอุ่นสมหนังโรแมนติกเลย มุกตลกและมุกเซอร์ไพรส์ในหนังก็ทำงานดีทุกครั้งที่ตั้งใจปล่อย และน่ารักมากก (มีมุกคุณตำรวจหญิง 2 คนนั่นล่ะที่ยอมแพ้ไม่ค่อยเก็ตความตลกแบบอังกฤษเท่าไหร่ 55)
เพลงเองก็ถูกนำมาใช้ในหนังเยอะมาก ดาวเด่นก็ต้องเป็น Last Christmas ตามชื่อหนัง และยังมีเพลงของจอร์จ ไมเคิล อีกหลายเพลงที่ถูกนำมาสอดแทรกได้ตรงจังหวะ เรียกว่าคนทำเนิร์ดจอร์จ ไมเคิลไม่เบาเลยล่ะ ด้วยความเนิร์ดนี้เองหนังจึงไม่พลาดที่พา แอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ กลับมาหาไมเคิลอีกครั้งในฐานะดารารับเชิญ แม้ไมเคิลจะจากไปตั้งแต่ 25 ธันวาคมเมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว แต่การมาของริดจ์ลีย์ในฉากมวลสุขสุดท้ายของหนังก็เติมเต็มหัวใจของแฟนเพลงยุคเก่าได้อีกครั้งจริง ๆ นะ
ดูเอ็มวีต้นฉบับกันเพิ่มความอิน
ส่วนที่อยากพูดเกี่ยวกับหนังและขอชื่นชมอีกก็คือ การสร้างคอนทราสต์แบบตั้งใจ หนังมีความล่องลอยเหนือจริงกับชีวิตจริงสุดเรียลไว้ด้วยกัน แล้วเกิดมวลความรู้สึกใหม่ ๆ ให้หนังได้ดี ในขณะที่เคทก็ชีวิตย่ำแย่จิตใจบอบช้ำสุด ๆ เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์หนุ่มสาวปัจจุบันในโลกนี้ที่ผ่านเผชิญความสาหัสสากรรจ์ของโลกมาจนประโยคของพระเอกที่ว่า “ทำไมเธอจะต้องโฟกัสกับความเป็นคนพิเศษ ในเมื่อการเป็นแค่คนธรรมดาก็ยากจะตายอยู่แล้วทุกวันนี้” กลายเป็นคำที่เข้าหัวจิตหัวใจทั้งเคทและผู้ชมเหลือเกินได้ ด้านทอมเองก็ผลุบโผล่ไร้ที่มาที่ไปเปี่ยมเสน่ห์และให้อารมณ์ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ทั้งการเต้นรำไปตามท้องถนน รอยยิ้มแสนหวาน ดวงตามที่มองสิ่งใดก็พิเศษอยู่เสมอ และจิตใจอันประเสริฐสุดที่เมตตาแก่มนุษย์ทุกคนแม้แต่ผู้ยากไร้ คนไร้บ้าน เช่นเดียวกับที่จอร์จ ไมเคิล เองก็อุทิศเวลาเป็นจิตอาสาช่วยคนไร้บ้านในสมัยมีชีวิตด้วยเช่นกัน (จะมองว่าตัวละครพระเอกคือภาพคอนเซปต์ความดีงามของโลกผ่านความคล้ายคลึงกับจอร์จ ไมเคิลก็ไม่ผิดเลยนะ) ความคอนทราสต์สุดแบบนี้ทำให้หนังมันเต็มไปด้วยความรู้สึกของมนต์วิเศษโอบล้อมเราตลอดเวลาได้อย่างดี
สุดท้ายไม่ท้ายสุด แม้หนังจะดูเบาดูหวานขนาดไหน แต่เอาจริงมันพูดประเด็นสำคัญมาก ๆ ที่เผยตัวเองจริง ๆ จัง ๆ ในช่วงหลังของหนังที่เผยไพ่บนมือหมดกระดานแล้ว นั่นคือหนังมันว่าด้วยความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ โดยใช้สถานการณ์เบร็กซิตที่อังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรปเพื่อกีดกันคนต่างด้าวและผู้อพยพที่อยากเข้ามาเกาะกินคนอังกฤษ ว่าสุดท้ายแล้วเราจะมองเพื่อนมุษย์เท่าเทียมกันและโอบกอดพวกเขาด้วยความรักได้จริงใจแค่ไหนกัน โลกคงดีขึ้นไม่น้อยเลย นั่นคือสิ่งที่หนังทิ้งไว้ในตอนเราออกจากโรงซึ่งเป็นสาระดี ๆ ที่หนังสื่อมาแบบไม่ล่องลอย
คริสต์มาสที่แล้วไปเสี่ยงซื้อเองที่โรงแล้วรอบเต็ม คริสต์มาสนี้กดที่รูปด้านล่างจองได้ซื้อได้สบายสะดวกเว่อ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส