แนวหนัง Sci-Fi ที่ชื่อย่อมาจาก Science Fiction มักกล่าวถึงเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ วิทยาการอวกาศ เทคโนโลยีล้ำ ๆ ที่อาจจะยังไม่เกิดขึ้นจริงในโลกปัจจุบัน หนังแนวนี้เป็นที่่ถูกอกถูกใจคอหนังมาหลายทศวรรษ เพราะคนเราจะเข้าไปดูหนังสักเรื่องก็เพื่อลืมโลกแห่งความจริงสัก 2 ชั่วโมง และได้เข้าไปผจญภัยในโลกแห่งจินตนาการ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่อาจคิดค้นเรื่องราวใหม่ ๆ ได้ในอนาคตรุ่นของเขา ยิ่งหนัง Sci-Fi ยุคหลัง ๆ ยังอุดมไปด้วยเทคนิคพิเศษ และภาพที่หวือหวาอลังการของคอมพิวเตอร์กราฟิก ก็ยิ่งเป็นที่ถูกใจ ต่อเติมจินตนาการ และทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่าราคาค่าตั๋วที่แพงขึ้นทุกที
What The Fact ขอรวบรวมหนัง Sci-Fi ที่ขึ้นชื่อว่า “ดีที่สุด” ประทับใจคอหนังมากที่สุด โดยอ้างอิงจากคะแนนความพึงพอใจของผู้ชมจากเว็บไซต์ iMDB ซึ่งเชื่อว่า เกือบทุกเรื่องคอหนังน่าจะเคยผ่านตากันมาหมดแล้ว (แต่กลับไปดูซ้ำกันได้นะ)
อันดับ 10 Rise of the Planet of the Apes (2011) (Score 7.6)
- ผู้กำกับ: Rupert Wyatt (Captive State, The Gambler, The Escapist)
- นักแสดง: James Franco (127 Hours), Andy Serkis (The Lord of the Rings), Brain Cox (X-Men 2), Tom Felton (Harry Potter)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 481 ล้านเหรียญฯ / 93 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: การรีบูตใหม่ของตำนานกำเนิดพิภพวานร ที่ย้อนกลับไปเล่าเรื่องราวก่อนต้นฉบับจำนวน 5 ภาค (1968-1973) และอีกหนึ่งภาคเวอร์ชันของผู้กำกับ Tim Burton เมื่อปี 2001 หนังเป็นความ Sci-Fi ที่เล่าเรื่องราวเชิงวิทยาศาสตร์ในการสอนให้ลิงมีความรู้สึกนึกคิดและเริ่มเลียนแบบการพูดให้เหมือนคน ซึ่งกับภาคแรกนี้ดูจะเป็นแนววิทยาศาสตร์มากที่สุดในจำนวน 3 ภาค (2 ภาคหลังกลายเป็นหนังสงครามระหว่างคนและมนุษย์แบบจัดเต็ม) ตัวละครเอกอย่างลิง “ซีซาร์” ถูกเลี้ยงมาอย่างเป็นมิตรโดยวิล รอดแมน (ตัวละครของ Franco) เพื่อหาวิธีการรักษาโรคอัลไซเมอร์ของพ่อ จากการทดลองกับซีซาร์โดยหารู้ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว ด้วยความกระหายและความละโมบของนักธุรกิจที่มุ่งแต่หารายได้จากลิง จะก่อให้เกิดหายนะที่บานปลายระดับมวลมนุษยชาติ ทั้ง 3 ภาคที่เกิดในยุค 2010s เป็นความสำเร็จร่วมกันของทั้ง Wyatt และผู้กำกับ Matt Reeves ที่ได้ไตรภาคนี้สร้างชื่อเสียงและได้ทำหนังที่ใหญ่ขึ้น ล่าสุดหนังจะไม่หยุดอยู่แค่ความเป็นไตรภาค เพราะค่ายหนังได้เดินเครื่องสร้างภาคต่อไปแล้ว
อันดับ 9 Rogue One: A Star Wars Story (2016) (Score 7.8)
- ผู้กำกับ: Gareth Edwards (Godzilla, Monsters)
- นักแสดง: Felicity Jones (The Theory of Everything), Diego Luna (Narcos: Mexico), Forrest Whitaker (The Last King of Scotland), Donnie Yen (Ip Man)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 1,053 ล้านเหรียญฯ / 200 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: หนังภาคแยก A Star Wars Story เพียงเรื่องเดียวที่ประสบความสำเร็จของ Disney (Solo ภาคแยกนับเป็นความล้มเหลว จน Disney ขอหยุดสร้างหนังภาคแยกและไปเอาดีกับเนื้อหาลงสตรีมมิง Disney+ ดีกว่า) กับแผนแย่งชิงพิมพ์เขียวจากฝ่ายจักวรรดินิยมและดาร์ธ เวเดอร์ (ปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้ด้วย) เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนภาค New Hope ซึ่งแฟน ๆ ก็คงจะได้เห็น Easter Eggs หลายอย่างที่ชวนให้คิดถึงภาคแรกสุด ขึ้นชื่อว่า Star Wars ที่เป็นหนังสงครามอวกาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และไตรภาคหลังสุดที่จะสิ้นสุดการเล่าเกี่ยวกับตระกูลสายวอล์กเกอร์เพียงแค่นี้ก็กำลังจะปิดฉากในปีนี้ ทั้งภาพยานอวกาศล้ำ ๆ ชุดแต่งการสุดเท่ ดาบไลท์เซเบอร์ ทั้งหมดนี้คือแรงบันดาลใจสำคัญของหนัง Sci-Fi ที่ตามมาตลอด 40 ปีมานี้ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่หลายคนขององค์กร NASA ก็ได้ Star Wars เป็นแรงขับเคลื่อนความฝันอันยิ่งใหญ่มาจนถึงในปัจจุบัน
อันดับ 7 ร่วม Her (2013) และ Avengers (2012) (Score 8.0)
- ผู้กำกับ: Spike Jonze (Where the Wild Things Are, Being John Malkovich, Adaptation)
- นักแสดง: Joaquin Phoenix (Joker), Scarlett Johansson (Lost in Translation), Amy Adams (Arrival), Chris Pratt (Jurassic World)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 47 ล้านเหรียญฯ / 23 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: นี่อาจจะเป็นหนัง Sci-Fi เรื่องเดียวที่เป็นทั้งหนักรักและหนังอินดี้ หนังที่ได้รับการพูดถึงว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแห่งความเหงาที่ดีที่สุดเช่นเดียวกับที่ Lost in Translation (2003) เคยทำไว้ (Spike Jonze และ Sofia Coppola ผู้กำกับเรื่องหลังนี้เคยเป็นคู่รักกันมาก่อน) ในยุคที่ Siri หรือระบบปฏิบัติการตอบโต้ด้วยเสียงของ iPhone เพิ่งเกิดขึ้นและได้รับความนิยมใหม่ ๆ หนังเรื่อง Her ได้หยิบประเด็นนี้มาเล่น เมื่อธีโอดอร์ชายหนุ่มสุดเหงาผู้ไม่ประสบความสำเร็จในความรักและหน้าที่การงานเลย เกิดตกหลุมรัก “ซาเมนธา” ระบบปฏิบัติการด้วยเสียง (ให้เสียงอย่างเซ็กซี่ชวนฝันโดย Scarlett Johansson ที่เล่น Lost in Translation ด้วย) แต่แม้จะรักกับ AI ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกับเฉพาะตอนจบที่ถ้าใครเคยได้ดูแล้ว ก็จะยิ่งชอบใจในความ Sci-Fi เมื่อระบบปฏิบัติการกลายเป็นสิ่งทรงภูมิปัญญาเหนือมนุษย์จะเข้าใจไปได้ในที่สุด Joaquin ให้การแสดงที่ดีที่สุดอีกหนึ่งเรื่องก่อนการมาถึงของ Joker ในทศวรรษเดียวกันนี้ (Documentary Club นำกลับมาฉายรอบพิเศษ รอบเดียววันที่ 25 ธันวาคมนี้ ที่ Lido Connect)
- ผู้กำกับ: Joss Whedon (Avengers: Age of Ultron, Serenity)
- นักแสดง: Robert Downey Jr. (Sherlock Holmes), Chris Evans (Fantastic Four), Chris Hemsworth (Star Trek), Scarlett Johansson (Her), Jeremy Renner (The Hurt Locker)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 1,518 ล้านเหรียญฯ / 220 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: ภาคปฐมบทของเหล่า Avengers ที่ออกมาปกป้องโลกกันแบบดรีมทีมเสียที หลังจากแยกกันทำภารกิจในหนังแนะนำตัวก่อนหน้านี้ หนังเป็นตัวแทนของฮีโรที่เชื่อมันในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำโดยไอรอนแมน ดร.บรูซ แบนเนอร์ ที่เกิดผลร้ายกับการมีฮัลค์เป็นร่างที่สองก็ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือกัปตันอเมริกาก็เป็นผลพวงจากการใช้วิทยาศาสตร์จนกลายเป็นฮีโร และตัวละครของเซลวิก จากเรื่อง Thor ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดทุกคนต่างก็ใช้ผลลัพธ์ของวิทยาศาสตร์ในการช่วงผดุงความยุติธรรมให้กับโลกใบนี้ หนังเต็มไปด้วยฉากการต่อสู้ด้วยเทคโนโลยี (และเวทมนตร์ของเทพเจ้า รวมถึงการต่อสู้ด้วยมือเปล่าด้วย) ภายใต้ฉากอลังการทุนสร้าง 220 ล้านเหรียญฯ ซึ่งสูงมากในเวลานั้น ก็คงไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของหนังแฟนตาซีฮีโรแบบนี้ได้จากเรื่องอื่น (รับชมได้ทาง Netflix เดือนธันวาคม)
อันดับ 5 ร่วม Mad Max: Fury Road (2015) และ Logan (2017) (Score 8.1)
- ผู้กำกับ: George Miller (Mad Max 1-3, Happy Feet 1-2, Babe: Pig in the City)
- นักแสดง: Tom Hardy (Inception), Charlize Theron (Prometheus), Nicholas Hoult (X-Men), Zoë Kravitz (The Batman)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 375 ล้านเหรียญฯ / 150 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: หนังเมนสตรีมที่ถูกยกย่องให้เป็นหนังที่บ้าคลั่งที่สุดแห่งทศวรรษด้วยอีกตำแหน่ง กับการรีบูตแฟรนไชส์ Mad Max โดยไม่มี Mel Gibson และได้ Tom Hardy มารับบทแทน สมทบด้วยนางเอกออสการ์ Charlize Theron รับบทโล้นซ่านักต่อสู้คนสำคัญ ที่หลังจากถ่ายทำเสร็จออกมาบอกเลยว่า ถ้ามีภาคต่อก็จะไม่กลับไปเล่นอีกแล้วเพราะความกันดารของทะเลทรายในออสเตรเลีย ความ Sci-Fi ของเรื่องอยู่ที่ความสวยงามและอัศจรรย์ของโลกหลังวันล่มสลาย กระทั่งน้ำดื่มก็ยังต้องแย่งกัน ถูกผูกขาดโดยอิมมอร์ตันโจ จนฟูริโอซ่าและแมดแม็กซ์ ต้องพาเมียทั้ง 5 คนของโจหนีตายออกมาจากการคุมขัง หนังชนะ 7 รางวัลออสการ์ได้แก่ ตัดต่อยอดเยี่ยม ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม แต่งหน้าและทำผมยอดเยี่ยม ตัดต่อเสียงยอดเยี่ยม ประกอบเสียงยอดเยี่ยม และออกแบบการถ่ายทำยอดเยี่ยม ยังไม่นับการเข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม ถ่ายทำยอดเยี่ยม และวิชวลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม ซึ่ง George Miller ให้สัมภาษณ์ว่า ภาคต่อจะมาแน่นอน (หลังจากตัวเขาทะเลาะกับค่าย Warners Bros. เรื่องส่วนแบ่งค่าจ้างไม่ลงตัวอยู่หลายปี)
- ผู้กำกับ: James Mangold (The Wolverine, Ford v Ferrari, Identity)
- นักแสดง: Hugh Jackman (Real Steel), Patrick Stewart (Star Trek), Richard E. Grant (Gosford Park), Dafne Keen (His Dark Materials)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 619 ล้านเหรียญฯ / 97 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: ภาคปิดท้ายตำนานของวูลฟ์เวอรีนที่พลิกแนวมาในโหมดของดราม่า ลดความแอ็กชันแฟนตาซีลงไปเกือบหมด ซึ่งแฟนหนังก็ตอบรับแนวทางนี้ของหนังเป็นอย่างดี จนหลายคนยกให้เป็นหนังฮีโรดราม่าที่เยี่ยมที่สุด วูลฟ์เวอรีนในสภาพไม่แข็งแรงเหมือนกันและชาร์ลในวัยชรามาก อาศัยอยู่ในโลกอนาคตหลังอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้มนุษย์กลายพันธ์ุในรุ่นเดียวกันสูญพันธ์ุไปเกือบหมด หนังนำเสนอโลกอนาคตได้อย่างดิบเถื่อน ก่อนจะจบด้วยดราม่าของการที่วูลฟ์เวอรีนต้องปกป้องกลุ่มเด็กกลายพันธุ์กลุ่มนึงที่หนีจากการทดลองของบริษัทยักษ์ใหญ่ หนึ่งในนั้คือไลร่าที่แทบจะถอดแบบการกลายพันธุ์มาเหมือนกับเขา ถือเป็นการปิดตำนานที่น่าจดจำของ Hugh Jackman ที่อยู่กับบทวูลฟ์เวอรีนมานานถึง 17 ปี และจะเป็นบทบาทที่โด่งดังที่สุดในชีวิตของเขา
อันดับ 3 ร่วม Avengers: Infinity War & Endgame (2018-2019) (Score 8.5)
- ผู้กำกับ: Anthony and Joe Russo (Captain America: Winter Soldier&Civil War)
- นักแสดง: Robert Downey Jr. (Sherlock Holmes), Chris Evans (Fantastic Four), Chris Hemsworth (Star Trek), Scarlett Johansson (Her), Jeremy Renner (The Hurt Locker), Brie Larson (Kong: Skull Island), Benedict Cumberbatch (The Imitation Game), Tom Holland (The Impossible), Zoe Saldana (Avatar) Paul Rudd (Ghostbusters: Afterlife), Chris Pratt (Jurassic World), Tessa Thompson (Creed)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของ Infinity War : 2,048 ล้านเหรียญฯ / 321 ล้านเหรียญฯ
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้างของ Endgame: 2,797 ล้านเหรียญฯ / 356 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมทั้ง 2 เรื่องถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: หากลืมเรื่องของความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล หรือความเป็นหนังฟอร์มยักษ์ ความเป็น Sci-Fi ก็ยังแทรกอยู่หลายส่วน อย่างเช่นความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของโทนี สตาร์ค แฮงค์ พิมและครอบครัว ด็อกเตอร์บรูซ แบนเนอร์ ชูริ น้องสาวคนเก่งของทีชัลล่า ซึ่งทุกคนแม้จะไม่ได้มีพลังวิเศษเหมือนตัวละครอื่น แต่ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามใช้สมอง (บวกกับเงินอีก…มหาศาล) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งมาต่อกรกับธาโนส หนังซูเปอร์ฮีโรล้วนแต่ให้แรงบันดาลใจสำหรับเด็ก ๆ หรือผู้ชมทั่วไป ที่จะออกมาสู้กับความอยุติธรรมอย่างกล้าหาญ ในที่นี้ก็ผ่านวิทยาศาสตร์และวิทยาการซึ่งสอดแทรกอยู่กับความเก่งของเหล่าตัวละครที่เด็ก ๆ ชอบนั่นเอง (ตั้งใจเรียนกันนะหนู ๆ)
อันดับ 2 Interstellar (2014) (Score 8.6)
- ผู้กำกับ: Christopher Nolan (Dunkirk, Insomnia, Inception)
- นักแสดง: Matthew McConaughey (Contact), Anne Hathaway (The Dark Knight Rises), Jessica Chastain (The Martian), Matt Damon (The Martian), Michael Caine (The Dark Knight), Timothée Chalamet (Call Me By Your Name)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 677 ล้านเหรียญฯ / 165 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: แม้ว่าในทศวรรษ 2010s จะมีหนังอวกาศเรื่องเยี่ยมเทคนิคยอดมากมาย อย่างเช่น The Martian (2015) หรือ Gravity (2013) กระทั่ง Ad Astra (2019) ในปีนี้ แต่ความพิเศษของ Interstellar ที่มีมากไปกว่าความเป็นหนังท่องอวกาศ คือการพูดไปถึงเรื่องของหลุมดำและมิติพิเศษของสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลก ที่ทำให้ผู้ชมที่ดูในโรงหนังถ้าไม่อึ้งหรืองงเพราะไม่เข้าใจ ก็ต้องยอมรับการเขียนบทที่ลึกล้ำ และการกล้านำเสนอแนวคิดการเดินทางผ่านรูหนอนและมิติกาลเวลาที่ซับซ้อนนี้ออกมา Interstellar ยังเล่าเรื่องของเวลาที่ไม่เท่ากันระหว่างเดินทางในแต่ละดาว (แนวคิดคล้าย ๆ ในฝันแต่ละชั้นของ Inception) หรือคอมพิวเตอร์แท่งสี่เหลี่ยมสีดำที่ชื่อ TARS หรือ CASE ที่อดนึกถึง HAL 9000 ใน 2001: Space Odyssey (1968) ไม่ได้ แต่ Nolan ก็ยังไม่ทิ้งความสนุกแบบภาพยนตร์กับตัวละครเซอร์ไพรส์ และดราม่าควารักระหว่างพ่อลูกที่เอามาขยี้ให้ซาบซึ้งในตอนจบ นอกจากนี้ Interstellar ยังทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่พูดถึงการเดินทางด้วยรูหนอนในยุค 90s ผลงานกำกับของ Robert Zemeckis เรื่อง Contact (1997) ที่ McConaughey ร่วมแสดงอยู่ด้วย
อันดับ 1 Inception (2010) (Score 8.8)
- ผู้กำกับ: Christopher Nolan (The Dark Knight Trilogy, Memento, The Prestige)
- นักแสดง: Leonardo DiCaprio (The Wolf of Wall Street), Tom Hardy (Mad Max: Fury Road), Joseph Gordon-Levitt (Looper), Ken Watanabe (The Last Samurai), Ellen Page (Juno)
- รายได้รวมทั่วโลก/ทุนสร้าง: 829 ล้านเหรียญฯ / 160 ล้านเหรียญฯ
- ทำไมถึงเป็นหนัง Sci-Fi ที่ยอดเยี่ยม: ที่สุดแห่งหนัง Sci-Fi ในทศวรรษนี้มาให้ได้ชมกันตั้งแต่ปีแรกของ 10 ปีที่เหลือ ซึ่งก็คงไม่เกินเลยไปจากความจริงที่ว่า นี่คือหนังที่สดใหม่ มาจากแนวคิดดั้งเดิมแท้ ๆ ที่ไม่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนหรือนิยายชื่อดัง ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของเสด็จพ่อ ผู้กำกับ Christopher Nolan (รั้งตำแหน่งหนัง Sci-Fi แห่งทศวรรษ 2 อันดับบนสุดเลยทีเดียว) ที่สร้างหนังเรื่องนี้จากแรงบันดาลใจจากหนังอย่าง James Bond รวมเข้ากับแนวคิดจิตวิทยาที่ Nolan ใช้หลอกล่อคนดูมาแล้วในหนังทุกเรื่องของเขา Inception ประกอบไปด้วยหลากหลายองค์ประกอบของความ Sci-Fi ไล่ตั้งแต่ การเดินทางเข้าไปในฝันซ้อนฝัน การขโมยความลับจากจิตใต้สำนึกระหว่างที่เหยื่อกำลังหลับ และหว่านจิตใต้สำนึกปลอมเพื่อเปลี่ยนความเป็นจริง หนังยังเต็มไปด้วยลูกล่อลูกชนให้คนเดาว่านี่คือความฝันหรือเรื่องจริง ไปจนถึงฉากสุดท้ายที่กลายเป็นหนึ่งใจฉากจบที่ชวนสงสัยที่สุดตลอดกาล…ไม่ว่าจะในแนวหนังประเภทไหน (รับชมได้ทาง Netflix เดือนธันวาคม)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส