Our score
6.8กุมารทอง ราคะ-เฮี้ยน | KUMANTHONG
จุดเด่น
- นักแสดงเวียดนามมาร่วมแสดงคับคั่ง หายห่วงเรื่องการแสดง
- ความสยดสยอง โหดเหี้ยม น่ากลัวจัดเต็มเบอร์
- ไคลแม็กซ์ของหนังที่ทวิสต์เพื่อเล่าประเด็นของหนังได้น่าสนใจ
จุดสังเกต
- ซีนกลางคืนยังแอบมีเกรนแตกบ้าง
- การดำเนินเรื่องเร็วมากจนอาจทำให้ติดตามตัวละครและเนื้อเรื่องแทบไม่ทัน
-
ความสมบูรณ์ของบท
7.5
-
คุณภาพนักแสดง
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
6.5
-
คุ้มเวลา ค่าตั๋ว
6.0
เรื่องย่อ เรื่องราวของ ซอย (หว่าง เอี๊ยน จีบี) สาวใบ้หูหนวก ที่ใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านใจกลางดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จนกระทั่งวันหนึ่งมีชายแปลกหน้าชื่อว่า ลลิว ฮวน (กวาง ต๋วน) มาเยือน เขาอ้างว่าตนคือ หมอผีผู้มีวิชาไสยศาสตร์กล้าแกร่ง และได้รับความเชื่อถือจากคนในหมู่บ้านทันทีที่สามารถรักษาชาวบ้านคนหนึ่งให้หายขาดจากอาการประหลาดได้อย่างปาฏิหาริย์ ฮวน ได้พบและตกหลุมรัก ซอย แต่แทนที่จะใช้วิธีเอาชนะใจแบบคนทั่วไป เขากลับเลือกทำเสน่ห์ใส่สาวอันเป็นที่รัก ถึงแม้เขาจะได้ทั้งตัวและหัวใจของเธอมาครอบครองจนได้แต่งงานกันในที่สุด แต่แล้วชีวิตคู่อันสวยงามกลับเปลี่ยนเป็นฝันร้าย เมื่อ ซอย พบว่า สามีของเธอมีอดีตอันมืดหม่นซ่อนอยู่ และเป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้น ต้องแลกกับการสละชีวิตของชาวบ้าน พร้อมกับต้องทำพิธีปลุกวิญญาณอีกนับครั้งไม่ถ้วน
หมวดหมู่ : สยองขวัญ / ระทึกขวัญ
ผู้กำกับ : เล บิ่ง ยาง (Le Binh Giang)
นักแสดง : กวาง ต๋วน (Quang Tuan), หว่าง เอี๊ยน จีบี (Hoang Yen Chibi ), ดิง อี ยอูง (Dinh Y Nhung), แทง ตู๋ (Thanh Tu), แทง หมี (Thanh My) ลา แทง (La Thanh)
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราอาจนึกภาพไม่ออกว่าพอพูดถึงหนังเวียดนามแล้วจะนึกถึงอะไร หน้าหนังเป็นอย่างไร เพราะเอาจริง ๆ ส่วนตัวของผมรู้สึกว่าหน้าหนังเองไม่ได้ดึงดูดขนาดนั้น อาจจะเพราะว่ามันดูเป็นหนังเกี่ยวกับไสยศาสตร์ที่หนังไทยเองก็มักจะหยิบเอามาเล่าอยู่เนือง ๆ จนซ้ำทางไปหมดแล้ว ยิ่งพอผมได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก ก็ยิ่งเกิดความรู้สึกจี๊ด ๆ พูดกันตรง ๆ คือ ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงกับชื่อหนัง “กุมารทอง ราคะ – เฮี้ยน” ดี มันทั้งแปลก ๆ และก็รู้สึกแปร่ง ๆ ไปด้วย เรียกว่าค่อนข้างหลุดจากทฤษฎีการตั้งชื่อภาพยนตร์ที่เรามักคุ้น ๆ กันพอสมควร พอยิ่งมาผนวกกับเรื่องกุมารทอง ที่สามารถตีความได้ว่าน่าจะเป็นหนังที่หยิบเอาความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคนมาเล่นด้วย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าไกลตัวเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นก็คือ
หนึ่ง แม้ว่าจะพะยี่ห้อกุมารทอง แต่มันก็ไม่ใช่หนังไทย เพราะเป็นหนังสัญชาติเวียดนามที่ได้เค้าโครงเรื่องจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในช่วงปี 1997 – 2002 ของคนทรงเจ้าที่แอบอ้างว่าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้คนได้ แต่เบื้องหลังเขาคือผู้ชำนาญด้านวิชาการทำกุมารทองที่ได้จากการฆ่าข่มขืนผู้หญิง ก่อนจะตัดหัวเหยื่อแล้วใช้หม้อตุ๋นแล้วฝังศพไว้ที่หลังบ้าน จนกระทั่งภรรยาของเขาที่ใช้ชีวิตด้วยกันแบบเงียบ ๆ เป็นผู้เปิดเผยว่าสามีของเธอเป็นฆาตกร เขาจึงถูกจับกุมตัว ภายหลังตำรวจได้พบศพผู้หญิงไร้ศีรษะ 3 รายที่ฝังไว้ที่บ้านของเขาเอง
สอง คือหนังเรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย Warner Bros. Thailand และ สาม คือกุมารทองตามความหมายของเวียดนามที่อยู่ในหนังนั้นไม่เหมือนกับกุมารทองตามความคิดของคนไทย
ที่ผมบอกว่ากุมารทองไทยไม่เหมือนกับเวียดนาม คือผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยของคนไทยเราคงนึกถึงกุมารทองในรูปแบบของ “ผีเด็ก” คือมักจะมีภาพจำคือเป็นหุ่นเด็กผมมัดจุกนุ่งโจงกระเบน (ถ้าเป็นหนังผีตลกก็มักจะเป็นกุมารทองวิ่งดุ๊กดิ๊ก ๆ) ที่คนมักนิยมเช่าบูชาแล้วเลี้ยงเสมือนลูกที่เอาไว้เฝ้าบ้านและให้โชคลาภ (แล้วก็มักจะมีเรื่องเล่าประมาณว่า บ้านไหนที่เลี้ยงกุมารทอง เวลาเจ้าของบ้านไม่อยู่ก็มักจะส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนเด็กเล่นกัน อะไรทำนองนี้)
แต่กุมารทองในความหมายของหนังเรื่องนี้ คือการจองจำวิญญาณหญิงท้องอ่อน ๆ เพื่อสูบกลืนวิญญาณแล้วจองจำเอาไว้เพื่อคงความเป็นอมตะ หรือเพื่อบรรลุในสิ่งที่คนทำพิธีต้องการ ซึ่งก็จะไปโยงกับเหตุการณ์ฆาตกรรมต่อเนื่องด้วยเหตุผลของการทำพิธีที่ต้องทำพิธีในคืนเดือนเพ็ญ ต้องวางยาสลบด้วยสารที่มาจากพืช แล้วทำการโกนขนตามร่างกายออกให้หมด จากนั้นต้องข่มขืนเพื่อทำให้หญิงผู้นั้นมีท้องอ่อน ๆ แล้วก็ทำการฆ่าทิ้งด้วยการรัดคอแล้วตัดหัว จากนั้นก็เอาหัวศพนั้นมาต้มจนเหลือแต่กะโหลก แล้วก็เอากะโหลกนั้นมาทำพิธีด้วยการสวดมนต์เพื่อสูบเอาไอวิญญาณนั้นเพื่อจองจำวิญญาณให้กลายเป็นทาส แล้วใช้วิญญาณนั้นดลบันดาลในสิ่งที่ตัวเองต้องการต่อไป
ซึ่งมันก็เลยน่าสนใจตรงที่ว่า ลลิว ฮวน นั้นมีปมฝังใจในวัยเด็กที่แม่ของเขาฆ่าตัวตาย ผนวกกับเขาได้ไปบังเอิญเจอกับแม่หมอคนหนึ่ง เขาเลยได้เรียนรู้วิชากุมารทองติดตัวมา และหวังจะใช้วิชากุมารทองเพื่อให้แม่ของเขากลับมาอีกครั้ง เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ลลิว ฮวน เริ่มมีความคิดที่จะต้องฆาตกรรมหญิงสาวเพื่อทำกุมารทอง แต่ก็ยังคงมีความลังเล เพราะว่าเกิดมีความรักใคร่ชอบพอกับซอย หญิงสาวผู้เป็นใบ้ ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่ผมรู้สึกว่า การหยิบเอาเหตุการณ์จากข่าวจริงของฆาตกรต่อเนื่องคนแรกในประวัติศาสตร์เวียดนามมาต่อยอดนั้นทำได้เป็นอย่างดี คือเป็นการเพิ่มปูมหลังของฆาตกรให้มีเบื้องลึกเบื้องหลัง มีมิติของตัวละครที่มีทั้งมุมของความรัก ความเมตตา มีเสน่ห์ ดูน่าเชื่อถือ เรียกว่าไปแค่ไปรักษาโรคให้ชาวบ้านแค่ไม่กี่ครั้งแต่ก็ได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้านในเวลารวดเร็ว รวมทั้งยังมีความอ่อนโยน รักแม่ รักเมียอยู่ในที
แต่ในคนเดียวกันก็กลับกลายเป็นฆาตกรผู้โหดเหี้ยม ที่พร้อมจะฆ่าทุกคนเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งตรงนี้ต้องให้เครดิตกับการแสดงของพี่ กวาง ต๋วน นักแสดงชื่อดังของเวียดนาม ที่สามารถทวิสต์บทบาทจากหมอผีหนุ่มทรงเสน่ห์และสามีผู้อ่อนโยน ใจดี ให้กลายเป็นสามีใจโหด และฆาตกรใจเหี้ยมเบ็ดเสร็จได้ในคนเดียว
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อีกอย่างคือการสร้างปมปัญหาให้ซอย ที่มีปัญหาพิการเป็นใบ้ ซึ่งต้องกลายเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับดำมืดของสามีผู้เป็นหมอผี เรียกว่าการที่เธอได้อยู่กินกับสามี ทำให้เธอได้ล่วงรู้สิ่งต่าง ๆ แบบเกือบทุกซอกทุกมุม หลายครั้งเธอพยายามเข้าถึงความลับของลลิว ฮวน แต่ก็ดันบอกกับใครไม่ได้ ฟ้องตำรวจก็ไม่ได้ เพราะเธอเป็นใบ้หูหนวก ซึ่งก็คือคนพิการนั่นแหละ และเมื่อเธอเป็นคนพิการ สังคมของคนในหมู่บ้านก็ดูจะเหลียวแล และไม่พยายามจะสนใจหรือเข้าถึงคนพิการอย่างเธอไปด้วย เมื่อยามที่เธอต้องเจอเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เธอก็ไม่สามารถที่จะส่งเสียงหรือขอความช่วยเหลือใครได้เลย ซึ่งแม้ว่าเธอจะมีโอกาสเข้าถึงหลักฐานต่าง ๆ และเปิดโปงความลับในการเป็นฆาตกรต่อเนื่องของสามีกับตำรวจและชาวบ้านในหลาย ๆ ครั้ง (แถมยังเฉียดเสี่ยงตายอีกต่างหาก) แต่ด้วยอุปสรรคจากการเป็นใบ้ก็ทำให้คนในหมู่บ้านไม่สามารถเข้าใจเธอได้สักที
ซึ่งนั่นก็ส่งผลพลอยได้ ทำให้ผมเองที่เป็นคนดูก็พลอยจะอึดอัด คับข้องใจ คอยลุ้นและเอาใจช่วยซอยไปด้วย ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นความเจ๋งของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแต่สร้างคาแรกเตอร์คนใบ้หูหนวกให้กับซอยเฉย ๆ แต่ยังหยิบเอาคาแรกเตอร์นี้มาใช้เพื่อสื่อถึงความเป็น “คนนอก” ที่มักจะไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ถูกกีดกันออกจากสังคม และมีเพียงน้อยคนที่จะเข้าใจในความรู้สึกของเธอจริง ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับสามีของเธอที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะได้รับความเชื่อถืออยู่ตลอด ตรงนี้ต้องให้เครดิตหนัก ๆ กับน้อง หว่าง เอี๊ยน จีบี ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ทั้งตอนตกหลุมรัก ดีใจ เสียใจ ผวากลัว หรือเสียใจผ่านสีหน้า แววตา และท่าทางออกมาได้ดีสุด ๆ แม้ว่าจะพูดไม่ได้เลยสักคำ เรียกว่าไม่เสียฟอร์มการเป็นนักแสดงและนักร้องมืออาชีพชื่อดังของเวียดนามเลยทีเดียว ที่สำคัญคือน้องน่ารักด้วยครับ แม้ว่าน้องจะได้รับบทเป็นสาวใบ้หน้าตาบ้าน ๆ แต่ความน่ารักของน้องนี่ ทะลุเมกอัปมอมแมม ๆ ขึ้นมาเลยแหละ
ว่าแล้วก็ไม่รอช้า เปิดวาร์ปน้องเลยสิครับจะรออะไร…
และพอเป็นหนังที่ว่าด้วยไสยศาสตร์ อวิชชา ด้านมืดและด้านสว่างของจิตใจคน มันก็คงขาดฉากวาบหวิว (ราคะ) และโหดสยอง (เฮี้ยน) ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการจะพาเด็กไปดูหนังเรื่องนี้คงไม่ค่อยเหมาะ เพราะในหนังนั้นเต็มไปด้วยฉากโหดต่าง ๆ อาทิ ฉากแหวะ ๆ ตอนที่ลลิว ฮวนทำพิธีรักษาชาวบ้าน เลือด ศพ ความรุนแรง เรื่องเพศ ภาพการฆาตกรรมและฆ่าตัวตายแบบโจ่งแจ้งปรากฏในหนังค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน นอกจากองค์ประกอบภาพที่ทำให้หนังเรื่องนี้สยองแล้ว องค์ประกอบอีกสองอย่างที่ผมอยากพูดถึงคือภาพฉากกลางคืน โดยเฉพาะกลางคืนแบบชนบทเวียดนาม ซึ่งสามารถถ่ายออกมาให้มืดแบบได้ใจมาก มืดแบบว่าถ้าอันเดอร์ลงไปแค่ครึ่งสตอปก็อาจจะมืดทั้งจอไปเลย ซึ่งในความคิดผม มันค่อนข้างที่จะทำงานกับบรรยากาศชนบทของเวียดนามและบ้านสังกะสีกลางทุ่งนาที่เป็นตำหนักของ ลลิว ฮวน ให้ดูลึกลับและน่ากลัวขึ้นไปอีก แต่ก็มีจุดสังเกตคือ แม้ว่าซีนกลางคืน (ภายนอก) จะมืดสุด ๆ แต่ซีนกลางคืนที่อยู่ภายใน ภาพกลับมีอาการเกรนแตกกันแบบเห็น ๆ เลย ซึ่งรบกวนสายตาและออกจะแย่งซีนอยู่พอสมควร รวมไปถึงภาพซีจียังทำได้ไม่ค่อยเนียนตาและสมจริงเท่าไร โชคดีที่มีฉากซีจีอยู่ในหนังค่อนข้างน้อย เลยถือว่ายังพอถูไถไปได้บ้าง
และองค์ประกอบของหนังสยองขวัญที่หลายคนเข็ดขยาดอย่างจังหวะตุ้งแช่ หรือ Jump Scare ก็ยังคงถูกเอามาใช้กับหนังเรื่องนี้ แต่ก็ต้องถือได้ว่าเป็นการหยิบเอาฉากตุ้งแช่มาใช้อย่างค่อนข้างฉลาด เพราะเป็นการใช้ที่ไม่เฝือ ไม่ได้ตุ้งแช่บ่อย ๆ เสียจนน่าเกลียด หลายครั้งการใส่จังหวะตุ้งแช่เข้ากับภาพอันสยดสยองในบางฉากเองก็สามารถทำให้ผมสะดุ้งได้เหมือนกัน ถือว่าเป็นการใส่จังหวะตุ้งแช่ที่พอยอมรับได้
แต่ก็มีข้อสังเกตที่ผมยังรู้สึกติดอยู่คือ หนังเดินเรื่องเร็วมากในหลาย ๆ จุด คือเกือบทั้งเรื่องเราจะได้เห็นตัวละครกระทำสิ่งใด ๆ ด้วยความรวดเร็ว มาเร็วเคลมเร็ว เสร็จไวไปไว อยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ได้มีการปูพื้นหรือเล่าที่มาหรือเจตนาของตัวละครในแต่ละซีเควนซ์มากเท่าที่ควรจะเป็น คือด้วยจังหวะการเล่าเรื่องแบบนี้ ลำพังกับเหตุการณ์ตื่นเต้น เช่นฉากฆาตกรรม ไล่ล่า ฉากพิธีกรรมต่าง ๆ ก็ทำให้จังหวะหนังมีความลุ้นระทึกดี แต่กับฉากเหตุการณ์ทั่ว ๆ ไป ความเร็วระดับสายฟ้าแลบแบบนี้ก็อาจจะทำให้ตามเรื่องราวหรือเจตนาของตัวละครแทบไม่ทันได้เหมือนกัน
อีกจุดของเนื้อเรื่องที่ผมอยากจะพูดถึงคือ บทสรุปของเรื่องที่คาดไม่ถึงมาก ๆ เอาจริง ๆ ถ้าว่ากันด้วยหน้าหนัง ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ออกจะเดาทางง่ายด้วยซ้ำว่าจะจบอย่างไร (เพราะลำพังตัวข่าวเหตุการณ์จริง ๆ มันก็สรุปจบไปแล้ว) แต่สิ่งที่ทำให้ผมถึงกับนั่งอึ้งคาเก้าอี้ก็คือไคลแมกซ์ของหนังนี่แหละ ไม่สปอยล์นะครับ แต่บอกได้คำเดียวว่า ช่างกล้ามาก เป็นการทวิสต์เรื่องที่โคตรไฮป์เลยครับให้ตายเถอะ คือการทวิสต์แบบนี้เนี่ย ถ้าทำไม่ถึง เหตุผลไม่หนักแน่นพอ หรือเส้นเรื่องไม่แข็งจริง มีหงายเงิบแน่นอน ยังดีที่เส้นเรื่องยังมีเหตุผลที่มารองรับได้ ผลออกมาเลยกลายเป็นบทสรุปที่ไฮป์มาก ๆ เลย
โดยสรุป แม้ว่าหน้าหนังจะดูไม่ค่อยชวนดึงดูดสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าประมาทหนังสยองขวัญสัญชาติเวียดนามเรื่องนี้ไปไม่ได้เหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นงานหนังที่ออกมาไม่น่าเกลียด และไม่เลวร้าย มีนักแสดงมืออาชีพจากเวียดนามร่วมเล่น ซึ่งถือว่าสอบผ่าน สมศักดิ์ศรีหนังทุบสถิติรายได้ในเวียดนาม และพลิกฟื้นวงการหนังเวียดนามให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง จริงอยู่ที่อาจจะมีองค์ประกอบบางอย่างที่ขาด ๆ เกิน ๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสยองขวัญสวนกระแสช่วงต้นปี ที่คอหนังสยองขวัญควรมาลองเปิดประสบการณ์หนังสยองระทึกขวัญสัญชาติเวียดนามเรื่องนี้กันดูสักครั้ง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส