แม้ว่าจะได้รับคะแนนวิจารณ์จากนักวิจารณ์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ อยู่ในระดับที่สูง (Rotten Tomatoes นักวิจารณ์ให้คะแนนไว้ถึง 80% ส่วนฝั่งคนดูทั่วไปให้ไว้ 81%) แต่ Birds of Prey ที่นำแสดงโดย Margot Robbie และมีชื่อเต็มต่อท้ายยาว ๆ อีกว่า And the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn กลับทำรายได้เปิดตัว 3 วันแรกในสหรัฐฯ ต่ำที่สุดในบรรดาหนังจากดีซีคอมิก โดยทำรายได้ไปเพียง 33 ล้านเหรียญฯ จนค่ายหนังอย่าง Warner ขอเปลี่ยนกลยุทธ์โดยด่วน ด้วยการเปลี่ยนชื่อหนังเป็น Harley Quinn: Birds of Prey แทน แต่ก็ไม่รู้ว่า จะดึงรายได้หนังทุนสร้าง 84 ล้านเหรียญฯ ให้เพิ่มขึ้นมาได้ทันเวลาหรือไม่
So AMC had an issue with fitting #BirdsOfPrey and the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn into their app. Well. Not anymore. pic.twitter.com/mQJrbZulol
— Stitch Kingdom has BUM WORMS (@stitchkingdom) February 10, 2020
แอปพลิเคชันจองตั๋วหนังในสหรัฐฯ พร้อมใจกันเปลี่ยนชื่อหนังเป็นชื่อใหม่ Harley Quinn: Birds of Prey หลังการเข้าฉาย 3 วันแรกส่อเค้าจะสร้างปัญหาความไม่เข้าใจชื่อกับตัวหนังว่า “นกผู้ล่าเหยื่อ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวละครดังจากดีซีคอมิกอย่างฮาร์ลีย์ ควินน์ โดยมีรายงานว่า ค่ายหนังอยากให้ผู้ชมสนใจโฟกัสมาที่ตัวละครของเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ และกับเรต R ที่หนังได้รับ หลังจากความสำเร็จของ Joker (2019) ที่ทำให้ Warner ยอมจะทำหนังจากคอมิกให้ดาร์กขึ้น ก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้หนังถูกจำกัดกลุ่มคนดูให้น้อยลงไปอีก เพราะเด็กและวัยรุ่นผู้หญิงที่ไม่สามารถเข้าชมได้เองโดยไม่มีผู้ปกครอง เหมือนเรตที่อ่อนกว่าอย่าง PG-13
ก่อนหน้าเปิดตัวฉาย Birds of Prey ได้รับการคาดหมายจากนักวิเคราะห์ทางการเงินว่าจะเปิดตัวสูงถึง 50-55 ล้านเหรียญฯ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นรายได้เปิดตัวที่ต่ำกว่าหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงร่วมจักรวาลดีซีด้วยกันอย่าง Wonder Woman (2017) ที่เปิดตัว 3 วันไป 103 ล้านเหรียญฯ หรือหากเทียบกับหนังภาคก่อนที่ตัวละคร “ฮาร์ลีย์ ควินน์” เคยปรากฎตัวอย่าง Suicide Squad (2016) ก็ยังเปิดตัว 3 วันไปได้ถึง 133 ล้านเหรียญฯ รวมถึงหากเทียบกับหนังฮีโรจากคอมิกดีซี แต่ไม่อยู่ในจักรวาลเดียวกัน และเปิดตัวช่วงต้นปีเหมือนกันอย่าง Shazam! (2019) ที่ทำรายได้ไประดับที่น่าพอใจแต่ไม่สูงนัก ก็ยังเปิดตัว 3 วันไป 53.5 ล้านเหรียญฯ โดยหนังที่ชูโรงว่ามีตัวละครหลักเป็นกลุ่มคาแรกเตอร์วายร้ายหญิงและโชว์จุดขายความเป็นหนังเฟมินิสต์เพื่อนหญิงพลังหญิงเรื่องนี้ ไม่ได้รับการตอบรับจากผู้หญิงอย่างที่คาด เพราะ 54% ของผู้ชมในสัปดาห์แรกนั้นเป็นผู้ชาย
เหตุการณ์เปลี่ยนชื่อหนังหลังออกฉายเคยมีเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับหนังของ Tom Cruise เรื่อง Edge of Tomorrow (2014) ที่ใช้ชื่อที่ออกฉายตอนแรกในสหรัฐฯ ว่า Live Die Repeat แต่หลังจากเปิดตัวฉาย 3 วันแล้วรายได้ไม่เปรี้ยง นักวิเคราะห์มองว่า เป็นเพราะคติความเชื่อทางศาสนาคริสต์ไม่เชื่อเรื่องการตายแล้วเกิดใหม่ แต่เชื่อเรื่องการไปอยู่ในอาณาจักรพระเจ้าหลังความตายมากกว่า (ต้นฉบับของหนังเป็นมังงะหรือการ์ตูนญี่ปุ่น) ทำให้คนมีอคติต่อชื่อหนังกลาย ๆ หนังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Edge of Tomorrow เหมือนกันกับตลาดนอกสหรัฐฯ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทันเวลาเพราะหนังไม่ประสบความสำเร็จระดับทำกำไร แต่ค่ายหนังอย่าง Warner ก็ยังมีแผนจะให้ Cruise นักแสดงสาว Emily Blunt และผู้กำกับ Doug Liman กลับมาทำภาคต่อ ติดที่กว่าคิวจะว่างตรงกันก็เมื่อไรไม่รู้
ฮาร์ลีย์ ควินน์ ยังจะกลับมาใน The Suicide Squad ภาคต่อกึ่งรีเมกที่มีตัวละครของเธอกลับมาเล่นด้วย สมทบกับ Joel Kinnaman, Jai Courtney, Viola Davis ที่กลับมารับบทเดิม และนักแสดงใหม่ Idris Elba, John Cena, ผู้กำกับ Taika Waititi ที่มาเป็นนักแสดงในเรื่องนี้ และ Michael Rooker กำกับโดย James Gunn จาก Guardians of the Galaxy เตรียมเข้าฉายในสหรัฐฯ 6 สิงหาคม 2021
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส