Our score
7.3Spenser Confidential
จุดเด่น
- มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็ยังเอาอยู่ในบทแบบทั้งจริงจังทั้งตลกหน้าตาย
- คาแรกเตอร์น่าจดจำดีในฝั่งตัวเอก
- ดูเพลิน ดูง่าย
จุดสังเกต
- มุกตลกเป็นแบบยิ้ม ๆ ไม่ถึงกับฮา
- ไม่ได้มีฉากที่น่าจดจำ
- เรื่องการสืบสวนและตัวร้ายเข้มไม่สุด
-
คุณภาพงานสร้าง
6.5
-
ตรรกะความสมบูรณ์ของบท
8.0
-
คุณภาพนักแสดง
7.5
-
ความสนุก
7.0
-
คุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.5
เรื่องย่อ สเปนเซอร์ (มาร์ค วาห์ลเบิร์ก) อดีตตำรวจถูกดึงเข้าสู่โลกอาชญากรรมใต้ดินของบอสตันเมื่อค้นพบความจริงเบื้องหลังฆาตกรรมซ่อนเงื่อนและการพยายามสมคบคิดเพื่อปกปิดคดี แม้จะถูกคุกคามและข่มขู่ แต่สเปนเซอร์ก็มุ่งมั่นที่จะแสวงหาความยุติธรรมด้วยตนเองเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย
เวลามีผู้กำกับหนังคนดังมาร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์เราก็เดา ๆ ได้ว่าน่าจะด้วยเหตุผลประมาณ 3 ข้อนั่นล่ะ คือ อย่างแรกมันเป็นโพรเจกต์ที่ค่ายหนังใหญ่ไม่สนใจทำ หรือไม่ก็ สองคือเป็นโพรเจกต์ที่ผู้กำกับคนนั้นอยากลองอะไรใหม่ ๆ เปลี่ยนบรรยากาศ และสามก็คือไม่เลือกงานไม่ยากจน (ฮา) สำหรับ ปีเตอร์ เบิร์ก ผู้กำกับเจ้าของงานแอ็กชันธริลเลอร์ใหญ่ ๆ ที่มักอิงจากเรื่องจริงอย่าง Lone Survivor (2013) และ Patriots Day (2016) ที่งานยุคหลังนอกจากจะเน้นความซีเรียสจริงจังจากเหตุการณ์จริงแล้ว การมาร่วมงานกับ มาร์ค วาห์ลเบิร์ก ก็กลายเป็นคู่ขวัญคู่ใหม่ไปเลย เหตุผลที่ทั้งคุ่มาร่วมงานกับเน็ตฟลิกซ์ดูจากงานนี้ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน เพราะนอกจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่ได้ลองทำกับเน็ตฟลิกซ์แทนค่ายหนังแล้ว เนื้อหาของหนังก็ยังได้ดัดแปลงนิยายชุดสืบสวนการคอร์รัปชันในแวดวงตำรวจที่มีตัวละครนำชื่อ สเปนเซอร์ ของนักเขียนดังนาม โรเบิร์ต บี. พาร์กเกอร์ ซึ่งเคยเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ช่วงปี 1985 เรื่อง Spenser: For Hire มาเปลี่ยนให้กลายเป็นแนวบู๊ปนฮาร้าย ๆ ด้วย ซึ่งงานหนังตลกเรื่องสุดท้ายของเบิร์กนี่ต้องย้อนไปตอนทำ Hancock (2008) นู่นเลยทีเดียว เรื่องนี้แกน่าจะได้ปลดปล่อยพอสมควร
ด้วยความที่ดัดแปลงเอามันจากนิยายที่ซีเรียส ๆ หน่อยทำให้ตัวหนังมีความทั้งจริงจังและไม่จริงจังไปพร้อมกัน ในขณะที่ปริศนาในคดีและเหล่าตัวร้ายจะค่อนข้างดูสมจริงและซีเรียส แต่ผู้ชมก็จะไม่เบื่อเพราะบุคลิกของสเปนเซอร์ อดีตตำรวจที่เข้าคุกเพราะไม่ชอบความอยุติธรรมนั้นเป็นตัวละครที่มีสีสัน ปากหมา หน้ายับ รักหมากว่าแฟน และชอบแกว่งเท้าเข้าไปหาเสี้ยนทุกครั้งที่เห็นคนบริสุทธิ์เดือดร้อน ยิ่งการเข้าคู่กับพวกตัวละครอื่นฝั่งพระเอกที่คาแรกเตอร์จัดเกินปกติ ทั้ง ฮอว์ก (ได้ วินสตัน ดู๊ก ที่เล่นเป็น เอ็มบากู ในหนัง Black Panther มาเล่น) ตัวละครผิวสีคู่หูสุดหน้าตายและรักสัตว์ของสเปนเซอร์ที่ถูกปรับจากตำรวจในนิยายมาเป็นเด็กฝึกของค่ายมวย ตาลุงเฮนรี่ ชายแก่ที่ให้ความช่วยเหลือด้านที่พักหลังพระเอกออกจากคุกมาก็เป็นตาแก่ไม่ทันเทคโนโลยีแต่มีความเก๋าแบบโอลด์สคูล รวมถึง ซิสซี่ แฟนสาวของสเปนเซอร์ที่ผีเข้าผีออกอารมณ์รุนแรงเดาใจยาก ทั้งหมดเมื่อรวมตัวกันก็เลยกลายเป็นแก๊งที่ไม่ลงรอยกันเองแต่ก็เข้าขากันเยี่ยมเวลาคับขัน ช่วยให้หนังดูสนุกพอสมควร
ข้อเสียของหนังก็เป็นความไม่สุดเท่าไหร่นักนั่นล่ะ เพราะในแง่ของตัวละครนำก็จัดเป็นตัวละครที่น่าสนใจ ดูได้เพลิน ๆ เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ได้ติดใจขนาดอยากดูซีรีส์ต่อเนื่องไปหลังจากนี้ (ถ้ามีอย่างที่ท้ายเรื่องห้อยปมไว้) ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายด้วยเนื้อหาการคอร์รัปชันในแวดวงตำรวจที่พัวพันกับนักการเมืองและแก๊งอาชญากรรมใหญ่โตมาก แต่เพราะหนังไม่ได้เทให้กับเรื่องพวกนั้นเพียงพอมันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าพวกตัวร้ายน่ากลัวหรือเจ๋งขนาดที่กล่าวอ้างมาเลย ยิ่งฉากแอ็กชันก็เป็นแบบที่เดาได้ (เช่นฉากรถบรรทุกที่เป็นภาคบังคับมากว่าจะต้องมีแน่ ๆ) และก็เป็นอะไรที่โอลด์สคูลมาก ๆ ไม่ได้หวือหวาน่าจดจำอะไร
โดยรวมแล้วก็เป็นหนังที่ฆ่าเวลาพอได้ ไม่ได้ถึงกับแนะนำอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจงหนีไป เป็นงานที่เอาความผ่อนคลายเป็นที่ตั้งทั้งตัวผู้สร้างและผู้ชม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส