ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านไปของ Marvel Cinematic Universe ที่จบ Phase 3 ไปในปีก่อนด้วยหนังอย่าง Avengers: Endgame และ Spider-Man: Far From Home หนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของแฟรนไชส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ ก็คือการคัดเลือกนักแสดงที่เหมาะสมกับบท ชนิดที่สร้างความชื่นชอบอย่างเหนียวแน่นให้กับแฟน ๆ ทั้งสาวกมาร์เวลและคอหนังทั่วไป ให้เกิดความผูกพันกับตัวละครทุกตัวของนักแสดงทุกคนได้อย่างครบถ้วน
วันนี้ What the Fact ขอนำเสนอเรื่องราวเบื้องหลังจากคำสัมภาษณ์ของ Sarah Finn เบอร์หนึ่งของผู้ทำหน้าที่คัดเลือกนักแสดงมาแล้วทุกเรื่องของ MCU ว่าเธอมีวิธีการเลือกดาราคนไหนมาลงแต่ละบทอย่างไร รวมถึงในแต่ละบทนั้น ตัวเก็งรอบสุดท้ายมีดาราดังคนไหนเข้าชื่อก่อนจะที่พลาดโอกาสครั้งสำคัญไปบ้าง
Iron Man
- นักแสดง: Robert Downey Jr.
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Iron Man (2008)
- หนังแรกเดี่ยวของตัวเอง: Iron Man (2008)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: U.S. Marshals (1998), Natural Born Killers (1994), Zodiac (2007)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Tom Cruise, Nicolas Cage, Sam Rockwell, Timothy Olyphant
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: Tom Cruise และ Nicolas Cage เข้าชื่อเป็นนักแสดงที่อยากจะรับบทนี้มาตั้งแต่ยุค 90s แต่หนังก็สร้างไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาถึงปี 2006 ที่ Marvel Studios เกิดขึ้นบนโลก อย่างที่รู้กันมาเสมอว่า Marvel เสี่ยงเดิมพันสูงมากกับการเลือก Downey Jr. ที่ไม่ใช่นักแสดงดังในเวลานั้นมารับบทแรกของแฟรนไชส์ ก่อนหน้านี้เขาก็ยังมีข่าวไปพัวพันกับยาเสพติดจนชีวิตที่เคยเป็นนักแสดงดาวรุ่งต้องดิ่งเหว แต่ภายหลังจากกลับตัวกลับใจ นั่นเองก็เลยทำให้เขาได้รับบทเศรษฐีที่ก็กลับตัวกลับใจจากพ่อค้าอาวุธและเพลย์บอยมาเป็นฮีโรเหมือนในชีวิตจริง
- ส่วน Downey Jr. นั้น ก็เข้ามาทดสอบหน้ากล้องตั้งแต่หนังยังไม่มีชื่อเรื่อง และเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องมาคัดตัวเป็นบทอะไร “เป็นตัวเลือกที่เกินคาดไปมาก” Sarah Finn บอก ที่สุดแล้วเขาก็เป็นนักแสดงที่ทำรายได้สูงสุดจากบทใดบทหนึ่งในแฟรนไชส์นี้ นั่นคือ ค่าตัว 50 ล้านเหรียญฯ จาก The Avengers (2012) ส่วน Sam Rockwell นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ที่เคยมาทดสอบบทนี้เช่นกัน ก็ได้มาแสดงเป็นตัวร้ายตัวรองจอมกวนในภาค 2
Captain America
- นักแสดง: Chris Evans
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Captain America: The First Avengers (2011)
- หนังแรกเดี่ยวของตัวเอง: Captain America: The First Avengers (2011)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Fantastic Four (2005), Street Kings (2008), Push (2009)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Sebastian Stan, Chris Pratt, John Krasinski, Ryan Phillippe, Garrett Hedlund, Mike Vogel, Chace Crawford
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: “มันเป็นอะไรที่ลุ้นสุด ๆ” Sarah Finn เล่าถึงตอนที่ Chris Evans ปฏิเสธการคัดเลือกไปหลายครั้ง แต่หลังจากที่คัดนักแสดงกี่คนต่อกี่คนก็ยังไม่ได้ตามที่ทีมงานต้องการ Finn ก็ต้องกลับไปขอให้ Evans เล่นให้ได้ “เขาคือศูนย์รวมของทุกอย่าง ทั้งมีอารมณ์ขัน แสดงอารมณ์ได้ลึกซึ้ง ดูน่าอบอุ่น และก็ดูสง่างามในเวลาเดียวกัน แต่ตัวเขาเองนั่นแหละที่ไม่มั่นใจว่า เขาจะเป็นกัปตันอเมริกาที่สมบูรณ์แบบได้” Chris Evans คือนักแสดงคนแรกที่เคยเล่นหนังของคอมิก Marvel มาก่อนอย่าง Fantastic Four แล้วมาร่วม MCU ในบทนี้เป็นบทที่สอง และถ้าดูจากรายชื่อคู่แข่งแล้วก็จะเห็นว่า Sebastian Stan ที่รับบท “บัคกี้” หรือ Winter Soldier ก็เคยเป็นตัวเลือกนึงที่ผ่านมาถึงรอบสุดท้ายของการมารับบท Ass of America ด้วยเหมือนกัน
Thor
- นักแสดง: Chris Hemsworth
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Thor (2011)
- หนังแรกเดี่ยวของตัวเอง: Thor (2011)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Star Trek (2009), A Perfect Getaway (2009)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Liam Hemsworth, Tom Hiddleston, Alexander Skarsgård, Joel Kinnaman, Charlie Hunnam
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: Chris Hemsworth พบกับ Finn ครั้งแรกตอนที่เขาลงจากเครื่องบินจากออสเตรเลียและตรงดิ่งไปที่ออฟฟิศของ Marvel Studios โดยเข้าต้องทดสอบหน้ากล้อง (อย่างสั่น ๆ) ด้วยบทพูดแบบละครเช็คเสปียร์โบราณต่อหน้าผู้กำกับภาคแรกอย่าง Kenneth Branagh ที่แฟน ๆ คงจำกันได้ว่า ภาคแรกนั้นเกือบทั้งเรื่อง บทพูดของธอร์จะเป็นแนวลิเกและจักร ๆ วงศ์ ๆ “มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เราใช้เวลาอยู่นานพอสมควรเพื่อจะมั่นใจว่าเขาคือคนที่ใช่” Finn เล่าว่า Hemsworth มาทดสอบบทตั้งแต่ตอนยังไม่ได้เล่น Star Trek และเขาก็มั่นใจมากขึ้นหลังจากได้เดินสายพบสื่อจากเรื่องที่ว่า และไปแสดงในหนังสยองขวัญ The Cabin in the Woods น้องชายของเขาก็เคยมาทดสอบบทนี้และทีมงานบอกด้วยว่า น้องชายทำได้ดีกว่าในการคัดเลือกรอบแรกสุด และ Tom Hiddleston ผู้ต่อมารับบทเป็นน้องชายของธอร์อย่าง “โลกิ” ก็เคยมาทดสอบบทเทพเจ้าสายฟ้าด้วยเช่นกัน
Hulk
- นักแสดง: Edward Norton / Mark Ruffalo
- ปรากฎตัวครั้งแรก: The Incredible Hulk (2008) / The Avengers (2012)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: The Incredible Hulk (2008)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Norton – Fight Club (1999), Red Dragon (2002) / Ruffalo – Shutter Island (2010), Blindness (2008)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: David Duchovny, Joaquin Phoenix
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ในตอนที่ให้ Edward Norton มารับบท “บรู๊ซ แบนเนอร์” นั้น อย่างที่เห็นกันตอนจบท้ายเครดิตของ The Incredible Hulk โทนี่ สตาร์คปรากฎตัวพูดคุยกับนายพลรอสถึงการรวมทีม Avengers แล้ว ก่อนที่ต่อมาจะเกิดการถอนตัวเกิดขึ้น ตัวแทนของ Norton เคยออกมาบอกว่า นักแสดงของเขานั้นได้พูดคุยกับ Marvel Studio ถึงขั้นตอนในการมาร่วมเล่นในหนัง The Avengers แต่จู่ ๆ Marvel Studios ก็ออกมาประกาศขอเปลี่ยนตัว ทำให้ Norton ออกมาให้สัมภาษณ์เกทับว่า เขาก็ไม่อยากกลับมาเล่นในภาคต่อ ๆ ไปของ Hulk ด้วยเช่นกัน
- ต่อมาจึงมีการติดต่อไปยังเพื่อนสนิทของ Norton อย่าง David Duchovny จากซีรีส์ The X-Files ที่ก็ความคล้ายกับ Norton มากพอจะรับบทต่อแทน แต่เมื่อ Marvel ไม่สนไม่แคร์อยากจะเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของฮัลค์ใหม่ให้ได้ นักแสดงจึงเปลี่ยนมาเป็น Mark Ruffalo ซึ่งเป็นแบนเนอร์คนละเรื่องคนละแบบกับที่ Norton เคยเล่นไว้ เบื้องลึกเบื้องหลังน่าจะเกิดมาจากในตอนนั้น Marvel อยากจะสร้างหนัง Hulk แบบแยกเดี่ยวเองแต่สิทธิยังติดอยู่ที่ Paramount จึงประกาศตัดหางปล่อยวัด Norton เพื่อจะได้รื้อเรื่องกันใหม่ แต่จนถึงขณะนี้สิทธิของ Hulk ก็ยังติดอยู่ที่ค่ายเดิมจน Disney ไม่สามารถสร้างภาคแยกใหม่ได้
Black Widow
- นักแสดง: Scarlett Johansson
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Iron Man 2 (2010)
- หนังแรกเดี่ยวของตัวเอง: Black Widow (2020)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Lost in Translation (2003), Girl with a Pearl Earring (2003) The Island (2005),
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Emily Blunt, Natalie Portman, Eliza Dushku, Gemma Arterton
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ตัวเลือกแรกของบทนี้จริง ๆ แล้วเป็นของ Emily Blunt นักแสดงสาวที่ก็ฮอตไม่แพ้กัน ณ ปัจจุบันนี้ ในตอนนั้น Blunt กำลังดังจาก The Devil Wears Prada (2006) ของ Fox และระหว่างที่ Marvel อยากได้เธอมาร่วมงานใจจะขาด เธอกลับติดสัญญาที่จะต้องเล่นหนังอีกเรื่องให้กับ Fox ตามสัญญาที่เซ็นไว้ร่วมกันว่า Fox จะมอบบทใน The Devil Wears Prada ให้กับเธอ ถ้าเล่นหนังต่อให้อีกเรื่อง (เลยต้องไปเล่นหนังอย่าง…Gulliver’s Travels (2010) แทน) บทก็เลยตกมาเป็นของ Scarlett Johansson ที่ก็สวมมงดำรงตำแหน่งสาวเดียวแห่ง Avengers รุ่นแรกได้อย่างดีงามมาจนจะมีหนังแยกเดี่ยวของตัวเอง หลังจากปรากฎตัวในหนังเรื่องแรกถึง 10 ปี “ฉันคิดว่าเธอควรจะมีหนังแยกเดี่ยวมานานแล้ว และน่าจะต้องมีสัก 2 ภาคเป็นอย่างน้อยด้วย” Sarah Finn กล่าว
Scarlet Witch
- นักแสดง: Elizabeth Olsen
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Captain America: Winter Soldier (2014)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: ซีรีส์ WandaVision (2021)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Godzilla (2014), Oldboy (2013)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Saoirse Ronan
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ในตอนที่ Joss Whedon ผู้กำกับ Avengers: Age of Ultron เขียนสคริปต์ภาคนี้อยู่นั้น ในหัวของเขาคนที่จะมารับบท “แวนดา แม็กซิมอฟ” คือ Saoirse Ronan นักแสดงวัยรุ่นเข้าชิง 4 รางวัลออสการ์ และเคยเล่นหนังบู๊และหนังแฟนตาซีมาก่อนอย่าง Hanna (2011) และ The Host (2013) “ฉันรักจอส และฉันก็อยากจะมีส่วนรวมกับแฟรนไชส์นี้” Ronan เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางทำให้เธอก้าวเดินออกจากโพรเจกต์ไป อาจเป็นได้ว่าเธออยากจะไปเอาดีกับหนังสายรางวัลมากกว่า ทำให้บทตกมาเป็นของ Elizabeth Olsen นักแสดงหญิงอีกคนที่แม้จะโด่งดังน้อยกว่าแต่ก็มีฐานแฟนคลับติดตามอยู่เยอะพอสมควร
Star-Lord
- นักแสดง: Chris Pratt
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Guardian of the Galaxy (2014)
- หนังแรกเดี่ยวของตัวเอง: Guardian of the Galaxy (2014)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Her (2013), Zero Dark Thirty (2012), Moneyball (2011)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Lee Pace, Joseph Gordon-Levitt, Joel Edgerton, Jack Huston, Eddie Redmayne, Jim Sturges
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: Chris Pratt ไม่ใช่ตัวเลือกแรกของผู้มารับบทนี้ หลายคนอาจจะเคยเห็นเขาสมัยยังเป็นนักแสดงหุ่นอ้วนตุ๊ต๊ะ ตอนยังเล่นซีรีส์ Parks and Recreation ซึ่งไม่เหมาะจะมาเล่นเป็นผู้นำกลุ่ม Guardian of the Galaxy แน่ ๆ “ตอนแรก Pratt เคยมาออดิชันบทกัปตันอเมริกาทิ้งเอาไว้ค่ะ” Finn กล่าว “และหลังจากนั้นเราก็เคยเอาเทปออดิชันให้ James Gunn ผู้กำกับดู เขาไม่ค่อยโอเคกับ Pratt เท่าไหร่ในทีแรก แต่พอเราให้พวกเขาได้ลองเจอกันและคุยกันจริง ๆ พวกเขาก็สนิทกันเร็วมาก และฉันคิดว่า Gunn ได้มองเห็นความเป็นสตาร์ลอร์ดในตัวเขามากขึ้น” นักแสดงอย่าง Lee Pace ที่มารับบทเป็นตัวร้ายของเรื่องอย่าง “โรแนน” ก็เคยมาเข้ารับการทดสอบบทเป็นสตาร์ลอร์ดด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายได้ไปเป็นตัวร้ายแทน รวมถึงคนแรกที่ถูกเข้าชื่อไว้ก่อนจะเป็น Pratt อย่าง Joseph Gordon-Levitt ที่โบกมือลาบทนี้ไปในตอนหลัง
Rocket Raccoon & Drax
- นักแสดง: ให้เสียงพากย์โดย Bradley Cooper, Dave Bautista
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Guardian of the Galaxy (2014)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: Guardian of the Galaxy (2014)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: Cooper – The Hangover Trilogy (2009-2013), Bautista – Riddick (2013) และเป็นนักมวยปล้ำ WWE
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Rocket – Jim Carrey, Drax – Jason Momoa
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ก่อนหน้าที่จะมาลงเอยเป็นผู้พากย์เสียงเป็นเจ้าแร็คคูนร็อกเก็ต (ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก) บทนี้เคยเกือบจะเป็นของนักแสดงตลกที่ก็พากย์เสียงเป็นตัว “เดอะ กรินช์” ตัวเขียวคริสต์มาสมาก่อนอย่าง Jim Carrey แต่สุดท้ายก็มาลงเอยเป็น Bradley Cooper อย่างค่อนข้างเซอร์ไพรส์หลายคน ส่วนบท “แดร๊กซ์” เจ้ายักษ์ตัวโตที่ได้สมญานามว่ามนุษย์ล่องหน เพราะทุกคนมักจะมองข้ามเขาไป คนที่เคยมาออดิชันและได้รับเลือกแล้ว ก่อนจะตัดสินใจปฏิเสธในภายหลังคือ Jason Momoa เจ้าของบท Aquaman ของจักรวาลดีซี ซึ่งในตอนนั้นเขาได้ให้เหตุผลไว้ว่า เป็นเพราะเขาเคยเล่นซีรีส์ Stargate: Atlantis (2005-2009) ซึ่งรับบทเป็นบทเอเลี่ยนเหมือนกัน และเขามองว่าบทนี้ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างหรือเพิ่มความสามารถให้กับเขาเท่าไหร่ จึงขอปฏิเสธไปก่อน
Doctor Strange
- นักแสดง: Benedict Cumberbatch
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Doctor Strange (2016)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: Doctor Strange (2016)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: ซีรีส์ Sherlock Holmes (2010-2017), The Imitation Game (2014), The Hobbit Trilogy (2012-2014)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Joaquin Phoenix, Matthew McConaughey, Oscar Isaac, Jake Gyllenhaal, Jared Leto, Ethan Hawke
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: เป็นบทบาทของหนังที่เกิดขึ้นในเฟส 3 ของ MCU แล้ว ซึ่งหมายความว่า ไม่ต้องพูดกันให้มากความถึงความดังระดับโลกของ MCU และในทางกลับกันก็จะเป็นฝั่งนักแสดงดัง ๆ เองที่ขอเสนอตัวเพื่อมารับบท “อะไรก็ได้” ในจักรวาลซูเปอร์ฮีโรแห่งนี้ เช่นเดียวกับบทหมอแปลกที่แรกเริ่มเดิมที ตัวเลือกแรกของหนังก็คือ “โจ๊กเกอร์” Joaquin Phoenix ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเลือกรับเล่นหนังยาก และยิ่งถ้าเป็นหนังฮีโรแมส ๆ ก็น่าจะชวนเขาได้ยากขึ้นไปอีก หลังการพูดคุยหลายรอบ Phoenix ในเวลานั้นก็ขอเลือกไปต่อกับบทหนัง Joker แทน ซึ่งก็ถือว่าเลือกได้ถูกเพราะถึงขนาดทำให้เขาคว้าออสการ์มาได้ ส่วนสองคนที่เป็นแคนดิเดทตัวเต็งหลัง Phoenix โบกมือลาไป ก็คือ Jared Leto และ Benedict Cumberbatch ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกก็คือคนหลัง ส่วน Leto ก็หนีไปเป็นโจ๊กเกอร์ใน Suicide Squad ที่ไม่ประสบความสำเร็จและมาลุยต่อกับหนังฮีโรแวมไพร์ Morbius หนัง Marvel ในมือค่าย Sony ที่จะฉายปีนี้ เห็นแบบนี้ก็ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่า Cumberbatch กับการเล่นตลกหน้าตายและต้องเข้าคู่กับโทนี่ สตาร์ค Downey Jr. นั้นเหมาะสมที่สุดแล้วละ
Black Panther
- นักแสดง: Chadwick Boseman
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Captain America: Civil War (2016)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: Black Panther (2018)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: 42 (2013), Get on Up (2014), Gods of Egypt (2016)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Morris Chestnut, Chiwetel Ejiofor, Noel Clarke, John Boyega
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: Chadwick Boseman ถูกผู้จัดการเรียกตัวด่วนขณะเดินอยู่บนพรมแดงในงานเปิดตัวหนังชีวประวัติ James Brown เรื่อง Get on Up ที่เมืองซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้จัดการบอกว่าเขาต้องรับโทรศัพท์สายนี้ที่ปลายสายเป็นการประชุมสายกันอยู่ระหว่าง Kevin Feige และสองพี่น้องผู้กำกับ Russo แทบไม่ต้องเดาเลยว่าพวกเขาจะชวน Boseman ไปเล่นหนังจักรวาลไหน แต่เดิมนั้นเขาเคยมาทดสอบหน้ากล้องเพื่อรับบทแดร็กซ์ ใน Guardian of the Galaxy แม้จะออกมาไม่ค่อยเหมาะ แต่ Sarah Finn ก็เก็บนักแสดงหนุ่มคนนี้ไว้ในใจเสมอโดยหวังว่าจะมีบทที่ใช่กับเขาในอนาคต และนั่นก็คือบทฝ่าบาท “ที’ชัลลา” นี่เอง “ฉันเสนอชื่อเขากับทีมโดยบอกว่า ติดต่อเขาได้เลย ฉันไม่จำเป็นต้องเรียกเขามาทดสอบหน้ากล้องซ้ำกับบทนี้”
- ในรายชื่อนักแสดงแอฟริกัน-อเมริกันหลายคนที่เกือบจะได้เป็น “แบล็คแพนเธอร์” ยังรวมไปถึง Morris Chestnut ที่ออกมาโพสต์โซเชียลว่าเขาได้รับเลือกให้มารับบทนี้แล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้จริงแต่ดันออกมาบอกก่อนเลยโดนปลด หรือว่าโม้, Chiwetel Ejiofor ที่สุดท้ายมารับบทเป็น “บารอนมอร์โด” พี่เลี้ยงของหมอแปลก ใน Doctor Strange และ John Boyega จาก Star Wars ไตรภาคหลังสุด
Okoye
- นักแสดง: Danai Gurira
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Black Panther (2018)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: ยังไม่มี
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: ซีรีส์ The Walking Dead (2012-2020)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: ไม่ปรากฎ
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ตามปกติสำหรับการทำงานของ Marvel Studios ในช่วงหลังที่ต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้บทหรือสคริปต์ต่าง ๆ หลุดออกไปว่าพวกเขากำลังทำอะไรกับตัวละครไหนในหนังเรื่องไหนบ้าง (ซึ่งก็กลายเป็นเสน่ห์ให้แฟน ๆ ได้ติดตามกันอยู่ตลอดเวลา) เช่นเดียวกันกับนักแสดงอย่าง Danai Gurira ผู้โด่งดังจากบทนักดาบ “มิโชน” จากซีรีส์ The Walking Dead ที่ตอนถูกเรียกเข้าไปทดสอบก็ยังไม่รู้ว่าจะให้เล่นบทอะไร “มันมีขั้นตอนเยอะเหมือนกันว่าจะบอกให้เธอค่อย ๆ รู้ว่าจะต้องรับบทอะไร แต่เราก็โชคดีที่เธอโอเคที่จะไปตามขั้นตอนแบบนั้น” Finn กล่าว ท้ายที่สุดกับบทนายพลหญิง “โอโคเย” มือขวาข้างกายของฝ่าบาทที’ชัลล่า หรือแบล็คแพนเธอร์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ได้มารวมต่อสู้ในทั้ง Avengers: Infinity War และ Endgame และในฉากรวมฮีโรเพื่อนหญิงพลังหญิง เธอก็เท่สุด ๆ ไปเลย
Spider-Man
- นักแสดง: Tom Holland
- ปรากฎตัวครั้งแรก: Captain America: Civil War (2016)
- หนังแยกเดี่ยวของตัวเอง: Spider-Man: Homecoming (2017)
- ก่อนหน้าเคยดังมากจาก: The Impossible (2012), In the Heart of the Sea (2015)
- คู่แข่งคนอื่นตอนคัดตัว: Timothée Chalamet, Asa Butterfield, Nat Wolff, Liam James
- เบื้องลึกเบื้องหลัง: ไม่ใช่งานที่ง่ายเลยสำหรับ Finn ในการคัดเลือกนักแสดงมารับบท “ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์” ที่ต้องลดอายุลงมาเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ซึ่งกับ 2 เวอร์ชันก่อนหน้านี้ของ Tobey Maguire และ Andrew Garfield ต่างก็รับบทเป็นไอ้แมงมุมกันไว้อย่างยอดเยี่ยมตามแบบฉบับของตัวเอง Finn และทีมงานต้องคัดเลือกนักแสดงวัยรุ่นชายถึง 2,000 คนเพื่อมารับบทนี้ และ Tom Holland คนเดียวก็มาทดสอบบทถึง 6 ครั้ง โดยในด่านสุดท้ายนั้นเข้าต้องทดสอบเคมีการเข้าคู่กันกับ Downey Jr. ที่ต้องมารับบทผู้เปรียบเสมือนลุงเบนจากเวอร์ชันก่อน ๆ ของ Spider-man ซึ่งสำหรับ Downey Jr. ก็ไม่ได้ทำแค่มาทดสอบหน้ากล้องร่วมกันเท่านั้น แต่ยังทุ่มเวลาเพื่อมาลองใช้ชีวิตกับ Holland ช่วงหนึ่งเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า ทั้งสองคนสามารถเล่นเข้าคู่กันได้อย่างสนิทใจจริง ๆ สำหรับแฟน ๆ ที่ได้ดูฉากสุดท้ายใน Endgame และ Far From Home แล้ว คงจะตอบได้ว่า พวกเขาทั้งคู่ทำสำเร็จหรือไม่ในการสร้างความรักและผูกพันต่อกันจนคนดูเชื่อสนิทใจ
- ตัวเต็งอื่น ๆ นอกจาก Holland ก็ยังมีนักแสดงที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นอย่าง Timothée Chalamet ที่สุดท้ายเลือกจะไปจับงานขายการแสดงมากกว่า (Call Me By Your Name, Lady Bird, The King, Little Women) และ Asa Butterfield (Hugo, Ender’s Game) ที่สุดท้ายตกรอบเพราะทีมงานบอกว่า “เขาสูงเกินไปน่ะค่ะ”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส