ปัญหาที่สตูดิโอใหญ่ประสบกันอยู่ขณะนี้ คือจะหาทางพาบริษัทฝ่าวิกฤตไวรัส Covid-19 ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างไร จะสร้างรายได้กับหนังเบอร์ใหญ่เบอร์เล็กของตัวเองทั้งที่สร้างเสร็จแล้วอย่างไรดี ครั้นจะหากำหนดฉายใหม่ วันเวลาดี ๆ ก็ต้องไปเบียดกับหนังอีกหลายเรื่องที่หนีไวรัสไปเช่นกัน ส่วนที่ยังไม่เลื่อนก็ต้องลุ้นกันอยู่ว่าสถานการณ์ไวรัส Covid-19 จะคลี่คลายหรือไม่

หนังเบอร์ใหญ่รายล่าสุดอย่าง Black Widow จากเดิมทีที่ยืนหยัดปักหลักในวันที่ 1 พฤษภาคม สุดท้ายก็ยอมถอยไปอีกรายต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด คิวต่อไปก็มาถึง Wonder Woman 1984 ที่วอร์เนอร์วางกำหนดฉายไว้วันที่ 4 มิถุนายน นี้ และยังไม่มีประกาศเลื่อนฉาย ภาระหนักมาตกอยู่ที่ โทบี้ เอ็มเมอริช ประธานของวอร์เนอร์ บราเธอร์ พิกเจอร์ ที่อยู่ในระหว่างตัดสินใจใคร่ครวญอย่างหนักว่าเลือกทางออกไหนดีกับโพรเจกต์ใหญ่ที่เป็นความหวังของค่ายเรื่องนี้ เพราะภาคที่แล้วก็ทำรายได้ถล่มทลายไปแล้วถึง 821 ล้านเหรียญ เป็นประตูบานใหญ่ให้กับเหล่าซูเปอร์ฮีโรเพศหญิงที่พิสูจน์ให้เห็นว่าในวันนี้ผู้ชมก็เปิดรับซูเปอร์ฮีโรหญิงมากขึ้น ทำให้เราได้เห็น Captain Marvel และ Black Widow ทยอยตามออกมา และในภาคต่อของ Wonder Woman นี้ โพรเจกต์ก็ได้กำลังสำคัญกลับมาครบถ้วนทั้ง แกล กาโดต์ และผู้กำกับ แพตตี้ เจนกินส์ ซึ่งทางวอร์เนอร์ ก็มั่นอกมั่นใจหนักหนาว่าหนังจะต้องทำกำไรมาให้กับสตูดิโอ ถึงขนาดควักกระเป๋าให้ทุนสร้างภาคนี้สูงถึง 200 ล้านเหรียญ

โทบี้ เอ็มเมอริช ประธานวอร์เนอร์ บราเธอร์ พิกเจอร์

โทบี้ เอ็มเมอริช ประธานวอร์เนอร์ บราเธอร์ พิกเจอร์

เมื่องลงทุนไปมากขนาดนี้ แล้วเจอวิกฤตการณ์ไวรัสที่โจมตีทั้งบรรดาสตูดิโอผู้สร้างและเครือข่ายโรงภาพยนตร์ ทำให้โทบี้ต้องคิดหนักและเรียกคุยกับบรรดาที่ปรึกษาผู้ใกล้ชิดว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน อย่างแรกเลยคือเลื่อนไปใกล้ ๆ ก่อน ขยับไปเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงปลายของฤดูหนังซัมเมอร์ ซึ่งก็อาจจะชนกับ Black Widow, Mulan, The New Mutants, A Quiet Place: Part II หนังเบอร์ใหญ่ ๆ เหล่านี้ ที่ยังไม่ประกาศกำหนดฉายใหม่ก็อาจจะมาลงเบียดกันในช่วงนี้ โอกาสที่หนังจะทำเงินก็น้อยลงไปอีก

หรืออีกทิศทางก็ทำตามอย่างยูนิเวอร์แซลที่นำร่องไปก่อนแล้ว ด้วยการปล่อยหนังให้เช่าผ่านสตรีมมิง ยูนิเวอร์แซลเพิ่งประกาศปล่อยเช่าหนังทั้งโพรเจกต์ที่เพิ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์อย่าง The Invisible Man, The Hunt และ Emma แล้วเดือนหน้าก็จะปล่อยหนังใหม่อย่าง Trolls: World Tour ผ่านทางสตรีมมิงเช่นกัน แถมปล่อยเช่าในราคาที่ค่อนข้างแพง เรื่องล่ะ 19.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีระยะเวลาในการชมจำกัดที่ 48 ชั่วโมงต่อเรื่อง ส่วนทาง ดิสนีย์ ก็มาในแนวทางนี้เช่นกันด้วยการปล่อย 2 หนังใหม่ Frozen 2 และ Pixar’s Onward ผ่านทางช่อง Disney+

ทำให้วอร์เนอร์กำลังให้ความสนใจแนวทางนี้ เพราะทางสตูดิโอเองก็มีแผนการจะปล่อยหนังใหม่อย่าง Birds of Prey, The Gentlemen และ The Way Back ผ่านทางสตรีมมิงก่อนกำหนดเช่นกัน ก็เลยชั่่งใจอยู่ว่าหรือจะปล่อย Wonder Woman 1984 ให้เช่าดูและขายขาดกันทางสตรีมมิงไปเลย แทนที่จะเลื่อนกำหนดฉายออกไปเรื่อย ๆ ติดตรงที่ว่า วอร์เนอร์ยังไม่มั่นใจว่าวิธีการนี้จะทำรายได้กลับมาคุ้มค่าหรือไม่ แน่นอนอยู่แล้วว่ารายได้จะต้องน้อยลงกว่าการออกฉายทางโรงภาพยนตร์ในสถานการณ์ปกติ แต่การเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้รายได้ของหนังตกลงเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกับการปล่อยเช่าและขายทางสตรีมมิงแล้ว ช่องทางไหนจะได้หรือเสียมากกว่ากัน

การตัดสินใจของทางวอร์เนอร์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่ทางออกของค่ายวอร์เนอร์เท่านั้น แต่นับเป็นก้าวสำคัญของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดเลย ถ้า Wonder Woman 1984 สามารถทำรายได้ทางสตรีมมิงได้อย่างน่าพอใจ สตูดิโออื่น ๆ ก็จะเริ่มมั่นใจและทำตาม ต่อไปผู้ชมก็ไม่จะได้ชมหนังฟอร์มใหญ่ทุนสูงทางสตรีมมิงกันมากขึ้น แล้วถ้าเทรนด์การตลาดมาทางนี้แล้วล่ะก็ ปัญหาใหญ่จะตกอยู่กับเครือข่ายโรงภาพยนตร์ละทีนี้ รอติดตามกันต่อไปกับทิศทางอนาคตของ Wonder Woman 1984 ที่เป็นการชี้ชะตาอนาคตของแฟรนไชส์โรงภาพยนตร์

 

อ้างอิง