แม้ว่า Fast & Furious 9 จะเลื่อนฉายจากเดิมเดือนพฤษภาคมปีนี้ ไปเป็นเดือนเมษายนปี 2021 เพราะสถานการณ์ไวรัส Covid-19 แต่ข่าวคราวของ The Fast Saga ก็ยังมีออกมาเรียกความสนใจจากแฟน ๆ อยู่ โดยเฉพาะข่าวนี้ที่คงเป็นความสงสัยของแฟน ๆ Fast มาตลอดว่า ทำไมพระเอกที่เป็นเสาหลักของเรื่องอย่าง Vin Diesel ถึงไม่กลับมารับบทนำในภาค 2 ปล่อยให้ Paul Walker ไปจับคู่กับ Tyrese Gibson และกลายเป็นภาคเดียวที่ Diesel ไม่มีส่วนร่วมเลยในบรรดาทุกภาค (ภาค 3 ยังโผล่มาในตอนท้ายหน่อยนึง)
- อ่านเรื่องราวเบื้องหลังหนัง Fast & Furious เรื่องจริงที่ยังไม่เคยรู้ของทั้ง 9 ภาคแบบเต็ม ๆ เพิ่มเติมได้อีก 2 ตอนที่นี่ (ตอนที่ 1) (ตอนที่ 2)
ย้อนกลับไปในปี 2000 ผู้กำกับสายบู๊อีกคนของวงการฮอลลีวูดที่กำกับภาคแรกอย่าง Rob Cohen ที่เห็นแววเขาจากหนังแฟรนไชส์ Riddick เรื่องแรกอย่าง Pitch Black (2000) จึงชวนมาเล่น The Fast and the Furious (2001) Diesel ที่มีความสามารถด้านการเขียนบทและกำกับหนังมาก่อนบ้าง จากผลงานเก่า ๆ ที่เข้าประกวดตามสายเทศกาลจนผลงานเข้าตา Steven Spielberg และได้มาเล่น Saving Private Ryan (1997) ในตอนนั้นเขาไม่พอใจบทที่เขียนขึ้นในทีแรก และใช้เวลาร่วมกับนักเขียนบทอยู่หนึ่งสัปดาห์เพื่อปรับแก้บทให้ดีขึ้น โดยที่ปรับให้ตัวละครของเขาและ Walker ติดดินและดูเป็นนักแข่งรถแบบเถื่อน ๆ มากขึ้น ท้ายที่สุดความพยายามของ Diesel ก็ไม่เสียเปล่า และหนังก็ได้รับคำวิจารณ์ไปในทางที่ดีรวมถึงทำรายได้อย่างงดงาม ต่อมาไม่นานค่ายหนังก็อนุมัติการสร้างภาคต่อ
Rob Cohen ไม่ได้กลับมากำกับภาค 2 ที่ชื่อ 2 Fast 2 Furious เปลี่ยนเป็น John Singleton ผู้ล่วงลับจาก Shaft (2000) และ Four Brothers (2005) (แต่ Cohen และ Diesel ก็จับมือกันไปทำหนังต่อที่ xXx (2002) แทน) Diesel ได้รับข้อเสนอให้มาแสดงเป็นค่าตัว 25 ล้านเหรียญฯ เพื่อมาสานต่อความสำเร็จในบท “ดอมินิค โทเร็ตโต” แต่เขาก็ปฏิเสธจะกลับมาแม้ค่าตัวระดับนั้นจะถือว่าเป็นค่าตัวที่สูงมากสำหรับนักแสดงที่มีหนังดังมาแค่เรื่องเดียว
โดยเหตุผลที่ Diesel ให้ไว้ก็คือ เขามองว่าภาคต่อของ The Fast and the Furious ควรจะเป็นอะไรที่มากกว่าการทำเดินซ้ำรอยเดิมของภาคแรกที่เน้นไปที่ความบันเทิง แต่อยากจะลงลึกถึงปูมหลังของเรื่องราวและตัวละครที่จะทำให้แฟรนไชส์นี้คงความคลาสสิกในอนาคต เหมือนที่ผู้กำกับ Francis Ford Coppola ได้ทำไว้กับ The Godfather: Part II (1974) เมื่อไม่ถูกใจบทและทิศทางของการทำหนังภาค 2 เขาจึงโบกมือลาไปพัฒนาหนังภาคต่อของ Pitch Black เรื่อง The Chronicles of Riddick (2004) แทน ซึ่งกลายเป็นหนังทุนสูงที่เจ๊ง แต่ก็ยังมีภาคต่อตามออกมา โดย Diesel เลือกจะกลับไปสร้างภาค 3 เป็นหนังแนวสยองขวัญทุนต่ำเหมือนภาคแรก
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ภาค 4 เป็นต้นมาที่เป็นเหมือนกับการรวบรวมทวงคืนจิตวิญญาณของภาคแรกกลับมา Diesel ที่กลายมาเป็นผู้อำนวยการสร้างของแฟรนไชส์นี้ตั้งแต่ภาค 4 มาจนภาค 9 ในปัจจุบัน ก็มีสิทธิ์มีเสียงจะกำหนดทิศทางของเรื่องราวนี้ ทำให้แฟน ๆ ได้เห็นปูมหลังของตัวละครหลายตัวในเรื่องนี้ และความเป็น “ครอบครัว” ที่แฟรนไชส์นี้นำเสนอเป็นจุดขายตลอดมามากขึ้น สมกับที่เขาตั้งใจไว้ตอนปฏิเสธรับเล่นภาค 2 แล้ว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส