Our score
7.4ปรมาจารย์ลัทธิมาร ภาควิญญาณอาฆาตแห่งชิงเหอ
จุดเด่น
- มิติของตัวละครชัดเจนกว่าภาคหลัก
- การแสดงดีทั้งนักแสดงหลักและรอง
- คุมโทนในรายละเอียดเสื้อผ้าและฉากดี
จุดสังเกต
- ขาดความต่อเนื่องของฉาก CG ในบางจุด
- เล่าเรื่องเร็ว ทำให้เข้าใจยากในบางจุด เหมาะสำหรับผู้ที่ดูภาคหลักมาก่อนมากกว่า
- การให้แสงเงายังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติในบางช่วง
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
6.5
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพการเล่าเรื่อง
7.0
-
ความน่าติดตาม
8.0
-
คุ้มเวลาดู
8.5
มาแล้วกับอีกหนึ่งภาคแยกที่บรรดาสาวก #ปรมจ ต่างรอคอย “ปรมาจารย์ลัทธิมาร ภาควิญญาณอาฆาตแห่งชิงเหอ” ในฐานะอีกหนึ่งติ่ง ขอบอกเลยว่า “ใครคิดว่าจะออกจากกูซู จะได้มาหลงอยู่ในชิงเหอแทน” 555 (ไม่สปอยล์นะจ๊ะ อ่านได้โลด)
ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น มีเสน่ห์จัดทุกตัวละคร ทำให้ความยาว 50 ตอนก็ไม่อาจเติมเต็มใจผู้ชมได้ บรรดาผู้จัดเลยทำทั้งนำซีรี่ส์ไปตัดต่อใหม่ ทำตอนพิเศษ แถมด้วยภาพยนตร์ภาคแยก ซึ่งตอนนี้มีด้วยกัน 2 ภาค คือภาคลมหายใจขุนพลผี (The living dead) ที่ปล่อยให้รับชมกันไปเมื่อปลายปี 2562 และ ภาควิญญาณอาฆาตแห่งชิงเหอ (Fatal Journey) ที่เพิ่งปล่อยมาสด ๆ ร้อน ๆ ออนไลน์ผ่าน WeTV ให้รับชมถึงบ้านเมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา
ปรมาจารย์ลัทธิมาร เป็นซีรี่ส์สร้างจากนวนิยายจีนชื่อดัง ก่อนหน้านี้เคยถูกดัดแปลงเป็น มันฮวา หรือการ์ตูนแบบมังงะฉบับจีน และแอนนิเมชันมาแล้วซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น (โดยเฉพาะในบรรดาสาววายทั้งหลาย) สำหรับตัวซีรีส์นี้ผู้สร้างลดทอนความวายออก เหลือเพียงมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชายแทน
เนื้อเรื่องเล่าถึงความดีความชั่วผ่าน “เว่ยอู๋เซียน” หรือ ปรมาจารย์อี๋หลิง ผู้สิ้นชีพ ณ เนินป่าช้า เชื่อกันว่ากายแหลกเหลว ไร้ร่างให้ดินกลบฝัง ด้วยพฤติกรรมเลวทรามต่ำช้าเป็นที่โจษจัน ทำให้ผู้คนพากันยินดีที่เขามอดม้วย แต่แล้วกาลเวลาผ่านไปสิบกว่าปี มีใครบางคนใช้อาคมต้องห้าม ยอมอุทิศร่างให้เขาฟื้นคืน ! เพื่อสืบหาผู้บงการและหลีกหนีจากศัตรูที่มีอยู่ทุกหัวระแหง เว่ยอู๋เซี่ยนจำต้องปิดบังตัวตนสุดชีวิต โดยเฉพาะกับตระกูลเซียนที่เคยล้อมปราบ คนที่เคยรู้จัก รวมถึงคู่รักคู่แค้นอย่าง หลานวั่งจี
ในภาคนี้ เนื้อเรื่องจะโฟกัสไปที่สองพี่น้องตระกูลเนี่ย อีกหนึ่งตระกูลเซียนที่มีความเกี่ยวพันกับการฟื้นคืนชีพของเว่ยอู๋เซียน และยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขจัดเหล่าอธรรม คืนคุณธรรมให้แผ่นดิน (สโลแกนคุ้น ๆ แหะ) ในซีรี่ส์หลักคาแร็กเตอร์ของคนพี่ “เนี่ยหมิงเจวี๋ย” (หวังอี้โจว) คือประมุขตระกูลผู้ดุดัน เกรี้ยวกราด แต่มากฝีมือและเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรม ขณะที่คนน้อง “เนี่ยหวายซัง” (จี้หลี) กลับนุ่มนิ่ม ลั้นลา ไม่ประสาวิทยายุทธ ทำให้คนพี่ต้องคอยอบรมดุด่าอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าในภาคแยกนี้ จะนำเสนอมุมมองที่ต่างไป ภายใต้บุคลิกดุดันกลับมีความอ่อนโยนแฝงเร้น และภายใต้ความเล่น ๆ ก็มีความจริงจังซ่อนอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งภาคที่พาเราเข้าสู่มิติลึกของสองตัวละคร และหลงเสน่ห์อย่างช่วยไม่ได้ แถมยังทำให้เราเข้าใจถึงความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของสองพี่น้องได้อย่างลึกซึ้ง เสริมให้เข้าใจการกระทำในภาคหลักอย่างแจ่มชัดขึ้นไปอีก (และแน่นอนว่าทำให้สองนักแสดงหลักดูเท่ น่ากรี๊ดไปอีกขั้น คาดว่าจะมีแฟนคลับนอกจอเพิ่มขึ้นอีกตรึม)
สำหรับโปรดักชันเองก็ยังคงคุณภาพได้ไม่มีตก คุมโทนได้ทุกหมัด รักษามาตรฐานดีเช่นเคย ขนาดแอกติ้งของตัวละครประกอบที่โผล่มาเพียงเสี้ยววิก็ยังเล่นดีไม่มีแข็ง และที่โดดเด่นคือ ฉากบู๊ที่มาเต็ม กับจังหวะตัดภาพที่เรียกความขนลุกได้กำลังดี จะมีก็แต่ CG บางช็อตที่ดูหลอก ๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังจัดว่ารับได้
แม้ว่าการเดินเรื่องยังเป็นสไตล์จีนค่อนข้างมาก คือเดินเรื่องรวดเร็วว่องไว หากไม่ใส่ใจจะหลุดรายละเอียด แต่เรื่องนี้กลับใช้หลัก “น้อยแต่มาก” แบบญี่ปุ่นได้อย่างกลมกลืน คือเลือกใช้องค์ประกอบสื่อความจำนวนไม่มากและบทพูดเพียงไม่กี่ประโยค ในจังหวะที่ใช่ จนสามารถฮุกเข้าไปในใจ สื่อเรื่องสำคัญให้ชวนซึ้งไปเต็ม ๆ (ยิ่งตอนจบเพลงประกอบขึ้น ใครอินจัดจะร้องไห้เหมียนหมาเลยขอบอก)
ด้วยเหตุนี้ สาวก #ปรมจ จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง (ใครยังไม่ดูสุดสัปดาห์นี้รีบจัดไปโลด เดี๋ยวจะคุยกับสาวกท่านอื่นไม่รู้เรื่อง) แต่หากใครยังไม่หลุดมาเข้าในจักรวาลนี้ เราขอแนะนำให้ไปเข้าทางเข้าหลักคือซีรีส์ทั้ง 50 ตอนเสียก่อน ถึงจะอิน ฟิน และเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะว่า จักรวาลนี้เข้าได้อย่างเดียวไม่มีทางออก ต้องมูฟออนเป็นวงกลมกันต่อไปปป
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส