ในปีนี้หนังแฟรนไชส์รถแข่งผสมอาชญากรรมอย่าง The Fast and the Furious จะมีอายุครบ 19 ปี และเกือบได้ฉลองด้วยการฉายหนังภาคที่ 9 พร้อมกับการตั้งชื่อจักรวาลของตัวเองเป็น The Fast Saga ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ก่อนที่จะถูกโยกฉายหนี Covid-19 ยาวไปถึงเดือนเมษายนปีหน้า นี่คือภาพยนตร์ชุดที่มีแฟน ๆ รักและให้การรอคอยมากที่สุด วัดจากความนิยมที่ไม่เคยเสื่อมลงเลยตลอด 19 ปี (ที่อาจจะมีเป๋ ๆ และเกือบไม่รอดไปในภาค 2-3) แต่ภาพยนตร์ชุดนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้สร้างจากคอมิกซูเปอร์ฮีโร และจากหนังสือที่ถูกนำมาดัดแปลง ที่ทำรายได้สูงที่สุดในโลกจนถึงตอนนี้
What the Fact ได้นำเสนอเรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับ The Fast and The Furious ตั้งแต่หนังเริ่มสร้างภาคแรกจวบจนภาค 9 ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า ตอนแรกไปแล้ว (อ่านได้ที่นี่) วันนี้จะขอนำเสนอในตอนที่ 2 ที่จะว่ากันถึงเรื่องราวความเป็นมาและเบื้องหลังหนังตั้งแต่ ภาค 5 จนถึงภาค 9 (สามารถหาดูภาค 4, 6 และ 7 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix)
ยกระดับจากหนังแข่งรถเป็นหนังจารกรรมโคตรมันใน Fast Five
หลังจากความสำเร็จในภาค 4 ก็เดินหน้าต่อในภาค 5 จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดนาน โดยในภาคนี้ค่ายหนังได้อนุมัติสร้างทั้งภาค 5 และภาค 6 ต่อเนื่องกันไปยาว ๆ Vin Diesel นำมุกการรวมตัวละครจากภาคเก่า ๆ ในภาค 4 มาขยายความต่ออย่างกับรู้ว่าจะเรียกคนดูได้ บวกกับการใส่กิมมิก “รักกันเป็นครอบครัว” ให้กับแก๊งนักแข่งนี้เติมเข้าไปด้วย Tyrese Gibson และ Ludacris จากภาค 2 Tego Calderon และ Don Omar จากภาค 4 รวมถึง Sung Kang และ Gal Gadot ก็ยังได้รับบทต่อเนื่องมาด้วย Universal ตัดสินใจชัดเจนว่าจะให้หนังจักรวาลนี้กลายเป็นหนังปล้น (Heist Films) เหมือนหนังดังในอดีตอย่าง The Italian Job (1969) และ The French Connection (1971)
หนังได้ทุนสร้างมากขึ้นกว่าเดิมเป็น 125 ล้านเหรียญฯ ทำให้หนังได้ไปถ่ายทำในโลเคชันที่แปลกใหม่มากขึ้นทั้งเมืองริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล และเปอร์โตริโก รวมถึงฉากปล้นตู้เซฟไซส์ยักษ์ในภาคนี้ เดิมที่คนเขียนบทอยากจะใส่ไว้ในภาค 4 แต่งบไม่พอและดูไม่เหมาะกับเนื้อเรื่องเลยไม่ได้ใส่ไว้และนำมาไว้ในภาค 5 แทน หนังภาคนี้เริ่มทำกำไรได้อย่างจริงจังโดยทำรายได้รวมทั่วโลกไป 626 ล้านเหรียญฯ จากแผนการตลาดที่แข็งแรงชนิดปูพรมของค่ายที่ขายหนังออกไปทั้ง Social Media, VDO Game, บริษัทผลิตรถยนต์ และการแข่งขันรถ NASCAR บวกกับหนังเริ่มเป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์ ก็ทำให้หนังประสบความสำเร็จ
เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 5
- บท “ลุค ฮ็อบส์” ของ Dwayne Johnson นั้น เคยมีการคิดกันว่าจะให้ Tommy Lee Jones (ซึ่งอายุต่างจาก Johnson มาก) มารับบทนี้ แต่ Diesel เกิดเปลี่ยนใจเมื่อมีแฟนหนังที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากเห็น Diesel กับ Johnson ปรากฎบนจอหนัง
- ในฉากต่อสู้กับระหว่าง Diesel และ Johnson ช่วงท้ายเรื่องที่กลายเป็นฉากไคลแมกซ์ แม้ดูจะเป็นฉากต่อสู้ธรรมดา แต่ Lin บอกว่า พวกเขาใช้เวลาในการนั่งคุยเพื่อออกแบบฉากนั้นร่วมกันระหว่างนักแสดงและทีมสตันท์ถึง 5 ชั่วโมง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ “ข้อศอก” ของ Diesel
- เป็นภาคแรกที่ผู้กำกับ Lin หันกลับมาทำหนังแบบพึ่ง CGI ในฉากแอ็กชันและฉากรถแข่งให้น้อยที่สุด เน้นฉากการถ่ายทำจริงเกือบทั้งหมดเช่น ฉากปล้นขบวนรถไฟ รถบรรทุกเข้าชนกับขบวนรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่จริง ๆ
- เป็นหนัง Fast เรื่องแรกที่มีความยาวเกิน 2 ชั่วโมง และเป็นหนังภาคแรกที่ไม่ได้ใช้ชื่อ Furious เลยในชื่อเรื่อง รวมถึงเป็น Fast ภาคแรกที่ฉายบน IMAX
- Annapolis (2006) เป็นหนังของผู้กำกับ Justin Lin ที่เคยกำกับนักแสดง Jordana Brewster และ Tyrese Gibson มาแล้ว
- Fred Raskin มือตัดต่อของหนังบอกว่า หลังจากตัดต่อหนังเรื่องนี้เสร็จ Quentin Tarantino เกิดชอบผลงานตั้งแต่ภาค 3 ของเขาจนจ้างไปตัดต่อ Django Unchained (2012) เขาบอกว่า Tarantino โทรหาเขาหลังจากดูหนังภาค 4 จบเพื่อจะถามว่าไทม์ไลน์ของ 2 ภาคนี้อะไรเกิดก่อนหลัง จนกระทั่งเขาได้ดูภาค 5 จบก็ตัดสินใจเลือก Raskin ไปกำกับในที่สุด
จุดเริ่มต้นของการ “ตายไม่จริง” ในจักรวาลนี้ จากเล็ตตี้ใน Fast & Furious 6
จักวาล Fast and Furious หลังจากภาคนี้เป็นต้นไป กลายเป็นหนังที่ขึ้นชื่อว่าตัวละคร “ตายไม่จริง” และกลับมามีบทบาทในเส้นเรื่องอีกครั้ง ชนิดที่แฟน ๆ หลายคนเรียกว่าแถกลับเข้ามาจนได้ก็ไม่ผิดนัก เริ่มจากเล็ตตี้ที่นึกว่าตายไปแล้วในภาค 4 แล้วก็กลับมาในภาค 6 (รวมไปถึง “ฮาน” ที่ในตัวอย่างภาค 9 เขาก็กลับมามีบทบาทอีกจนแฟน ๆ ต้องอดใจรอไปอีกหนึ่งปีนับจากนี้) “มันเป็นส่วนหนึ่งของแผน นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเราไม่ให้เห็นฉากศพของเล็ตตี้เลย” Chris Morgan คนเขียนบทเผย ยิ่งขยายความว่าภาพที่เห็นเธอตายนั้นเป็นแค่ภาพในหัวของดอมที่คิดไปเอง ในภาคนี้ทุนสร้างขยับจาก 125 ล้านเหรียญฯ ในภาคก่อนเป็น 160 ล้านเหรียญฯ แต่ก็ทำรายได้ไปด้วยดีกับ 789 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก
ทางด้านคำวิจารณ์ก็ดูจะไปได้สวย เหมือนนักวิจารณ์ส่วนใหญ่จะยอมรับกับการเปลี่ยนทิศทางของหนังมาเป็นหนังอาชญกรรมที่มาพร้อมกับฉากเวอร์ ๆ อย่างไม่ขัดใจเหมือนภาคก่อน ๆ ทั้งฉาก Flip Car รถจอมเสยของตัวร้าย “โอเว่น ชอว์” ของนักแสดง Luke Evans ที่ใช้รถถังบี้รถจริงไปถึง 250 คัน รวมไปถึงการได้ดารานักบู๊ที่เป็นมือโปรในด้านการต่อสู้จริง ๆ อย่าง Gina Carano (ซีรีส์ The Mandalorian) และ Joe Taslim (The Raid: Redemption) มาร่วมแสดงด้วย
เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 6
- Elsa Pataky ผู้รับบทตำรวจ Elena ลูกน้องของฮ็อบส์และมีความสัมพันธ์กับดอมนั้น ในชีวิตจริงเธอคือภรรยาของนักแสดงหนุ่ม Chris Hemsworth ผู้รับบทเทพเจ้าสายฟ้าธอร์
- เดิมทีมีการวางแผนว่าจะถ่ายทำหนังภาค 6 โดยแบ่งเป็น 2 พาร์ต (ประมาณว่า Fast 6.1 และ Fast 6.2) ที่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยพาร์ตแรกหนังจะจบลงที่ฉากรถถัง และพาร์ตสองจะจบลงที่ฉากเครื่องบิน
- ในการการขับรถไล่ล่าในเมืองลอนดอนนั้น เหมือนในภาคอื่น ๆ ที่หนังมักจะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำกลางเมืองใหญ่ ทีมงานจึงถ่ายทำกันที่บริเวณใกล้กับสนามกีฬาเวมบลีย์ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลอนดอนแทน และใช้เทคนิคการตัดต่อให้ดูเหมือนว่าเหตุเกิดแถวกลางเมือง
- Mark Bomback มือเขียนบทมากฝีมือจากหนัง War of the Planet of the Apes (2017), The Wolverine (2013) และ Live Free or Die Hard (2007) มาช่วยเกลาบทฉบับสุดท้ายให้แบบไม่ได้เครดิต
- ฉากที่เทจ ตัวละครของ Ludacris แซวฮอบส์ ในฉากงานประมูลรถว่า “แหม่ ท่องตามโบรชัวร์มาเป๊ะ” ตอนพูดถึงความรู้เรื่องเสปกเครื่องของรถ เป็นฉากที่ล้อเหตุการณ์คล้ายกันในภาค Tokyo Drift ซึ่งพูดขึ้นมาโดย “ฌอน บอสเวลล์” ตัวละครของ Lucas Black
- 1327 เลขที่ดอมบอกกับฮอบส์ตอนท้ายเรื่องของภาคนี้ คือเลขที่บ้านของดอมในหนังภาคแรก
- Paul Walker เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ไม่กี่เดือนหลังหนังภาค 6 เข้าฉายและอยู่ระหว่างการทำหนังภาค 7
Furious 7 ภาคที่ยิ่งใหญ่และสะเทือนใจที่ต้องเอ่ยคำลา
เป็นภาคที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้าน แต่ก็กลายเป็นเรื่องราวที่ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันของนักแสดง ทีมงาน และผู้ชม หนังได้รับการอนุมัติสร้างหลังจากภาค 5 ทำรายได้ดีตามคาด โดยจะถ่ายภาค 6 และ 7 อย่างต่อเนื่องกัน แต่นักแสดงและทีมงานหลายคนก็เริ่มบ่นว่าไม่ไหว ไล่มาตั้งแต่ Dwayne Johnson ที่คิวงานเรื่องอื่นมาจ่อรออยู่แล้ว (จึงทำให้เขามาเล่นได้แค่ในช่วงต้นเรื่องก่อนที่ตัวละครฮ็อบส์จะบาดเจ็บ และกลับมาอีกทีในตอนท้ายเรื่อง) คนต่อมาคือผู้กำกับ Lin ที่ไม่สามารถทำ Post-Production ในขั้นตอนตัดต่อหนังภาค 6 ไปพร้อมกับเตรียมถ่ายหนังภาค 7 ได้ แต่ค่าย Universal ก็ขอไม่รอเพราะไม่มีหนังแฟรนไชส์ทำเงินอยู้ในมือเลยในปีนั้น
ค่ายหนังจึงหันมาสนใจผู้กำกับเชื้อสายออสเตรเลีย-จีน-มาเลเซีย ที่กำลังมือขึ้นสุด ๆ จากหนังสยองขวัญอย่างแฟรนไชส์ Saw และ The Conjuring อย่าง James Wan เขาเคยเปรยกับโปรดิวเซอร์อย่าง Neal H. Moritz ว่า “ถ้า Lin ถอนตัวเมื่อไร ผมพร้อมเสียบ” ซึ่งพอถึงเวลา Moritz ก็ให้เขาเสียบจริง ๆ ทำให้นี่กลายเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของ Wan (ต่อมาเขาได้กำกับ Aquaman (2018) หนังซูเปอร์ฮีโรของดีซีต่อ) หนังยกระดับการถ่ายทำกลายเป็นหนังที่ถ่าย “ทั่วโลก” ของจริง เพราะมีโลเคชันตั้งแต่เมืองแอตแลนตา, จอร์เจีย, โคโลราโด ในสหรัฐฯ ข้ามไปถึงตะวันออกกลางอาบูดาบี ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ Wan ก็สร้างหนังเรื่องนี้โดยมีแรงบันดาลใจเป็นหนังอย่าง Seven Samurai (1954) (Wan อยากใช้ชื่อหนังว่า Furious Seven แบบเป็นตัวหนังสือแต่ค่ายหนังไม่ยอม)
แล้วข่าวร้ายที่เหมือนสายฟ้าฟาดนักแสดงและทีมงานทุกคนก็เกิดขึ้น เมื่อ Paul Walker นักแสดงหลักของเรื่องเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2013 ช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า ด้วยวัยเพียง 40 ปี Vin Diesel ได้ออกมาประกาศเลื่อนกำหนดฉายของหนังจากปี 2014 ไปเป็น 10 เมษายน 2015 หรือราว ๆ 1 ปี ความยากของ James Wan ก็คือหนังเพิ่งถ่ายทำฉากที่มี Paul ไปได้แค่ครึ่งเดียว และก็ยากเกินกว่าจะย้อนกลับไปถ่ายทำใหม่ทั้งเรื่องแบบไม่มีตัวละคร “ไบรอัน” จึงต้องแก้ปัญหาโดยให้น้องชายทั้งสองคนของ Paul มาแสดงแทนและใส่ CGI ใบหน้าของเขาเข้าไปแทนในฉากอีกครึ่งนึงที่เหลือ (ถ้าสังเกตเห็นในหนังจะมีหลายฉากที่ถ่ายแบบไกล ๆ และเลี่ยงไม่ให้เห็นหน้าของ Paul) รวมถึงการใช้ฉากที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในภาค 5 มาใส่ไว้ด้วย (เช่น ฉากที่คุยกับมีอาในโรงรถ หรือฉากคุยกับดอมบนเครื่องบินระหว่างไปอาบูดาบี)
ตัวร้ายของภาคนี้ได้นักแสดงนักบู๊สุดฮอตอีกคนของวงการอย่าง Jason Statham มาเป็นคู่ปรับของดอมในบทของ “เดคคาร์ด ชอว์” พี่ชายของลุค ชอว์ที่มาล้างแค้นแทนน้อง ฝ่ายพระเอกก็มีตัวเสริมทัพเป็นนักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง Kurt Russell, Djimon Hounsou, นักแสดงนักบู๊ชาวไทย “จา-พนม ยีรัมย์” ที่ได้แสดงหนังฮอลลีวูดที่ดังที่สุดในชีวิตเรื่องนี้ และตัวละครนักแฮกสาวคนใหม่ของครอบครัว Nathalie Emmanuel ในบท “แรมซีย์” เดิมทีหนังมีทุนสร้างราว 190 ล้านเหรียญฯ แต่ด้วยความล่าช้าของการถ่ายทำด้วยเหตุการเสียชีวิตของ Paul และอีกหลายอย่างก็ทำให้งบสร้างบานปลายไปถึง 250 ล้านเหรียญฯ แต่ด้วยความเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Paul Walker และระดมทีมนักแสดงคับคั่ง หนังก็ทำรายได้รวมทั่วโลกสุดท้ายไปถึง 1,500 ล้านเหรียญฯ ขึ้นแท่นอันดับ 9 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลจากทั่วโลก
เกร็ดเบื้องหลัง ภาค 7
- บท “มิสเตอร์โนบอดี้” ของ Kurt Russell เคยถูกเสนอให้ Denzel Washington มาก่อนแต่เขาปฏิเสธ นอกจากนั้น ยังมีนักแสดงอีกหลายคนที่ถูกเสนอให้มารับบทรับเชิญในภาคนี้ที่ไม่มีการเปิดเผย แต่จะมีบทบาทมากขึ้นในภาคต่อ ๆ ไป ทั้ง Taylor Lautner จากแฟรนไชส์ Twilight, นางเอกออสการ์ Halle Berry, Deepika Padukone นักแสดงสาวชื่อดังชาวอินเดีย แต่ทุกคนก็ติดด้วยเหตุต่าง ๆ จนไม่ได้มาร่วมแสดง
- เป็นหนัง Fast ที่มีความยาวมากที่สุดในแฟรนไชส์ด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 17 นาที
- หลังจากรถของฮานถูกชน ภาพของเขาและบันทึกต่าง ๆ ก็เผยให้เห็นชื่อเต็มของเขาคือ “ฮาน โซล-โอ” (Han Seoul-OH) ที่ทีมสร้างตั้งใจให้เป็นการคารวะ “ฮาน โซโล” ของหนัง Star Wars และเชื่อมโยงกับนักแสดง Sung Kang ที่มีเชื้อสายเกาหลี (ชื่อเมืองหลวงอย่างกรุงโซล ของประเทศเกาหลีใต้นั่นเอง)
- ในฉากการต่อสู้ของดอมและเดคคาร์ด ถ้าสังเกตดี ๆ ทีมงานได้ใส่รถ BMW และรถ Audi จากหนัง The Transporter (2002) และ Transporter 2 (2005) หนังแจ้งเกิด Statham ในฐานะนำเดี่ยวไว้ด้วย
- ในภาคนี้ หนังทำรายได้รวมทั่วโลกในสุดสัปดาห์ 3 วันแรกที่เข้าฉายถึง 384 ล้านเหรียญฯ มากกว่าที่ภาค 1 ทำได้ตลอดทั้งโปรแกรมฉาย
- เพลง See You Again ของ Wiz Khalifa และ Charlie Puth ที่หนังใช้อุทิศแด่ Paul Walker ประกอบช่วงท้ายเรื่องด้วย กลายเป็น Original Soundtrack ที่มีผู้ชมบน YouTube สูงที่สุดในโลก โดยมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านครั้งในปี 2015 ที่หนังเข้าฉาย และจนถึงขณะนี้มีผู้ชมไปแล้วกว่า 4,517 ล้านครั้ง เพลงนี้ยังได้เข้าชิงเพลงประกอบยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำด้วย
ในฉากตอนจบของภาค 7 ที่กลายเป็นหนึ่งในฉากจบของภาพยนตร์ที่ดีที่สุดตลอดกาลไปแล้ว (เชื่อว่า คอหนังและแฟน Fast เสียน้ำตาให้กับฉากนี้) ที่จะเห็นรถของดอมและไบรอัน ขับรถตีคู่กันมาก่อนที่ไบรอันจะเอ่ยถามว่า “ไม่คิดจะลากันหน่อยหรือ?” ก่อนจะขับแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง ฉากนี้เป็นการสะท้อนธรรมเนียมทางการบินที่เรียกว่า “Missing Man Formation” ของแวดวงการบินที่เป็นการแสดงความเคารพและสดุดีในพิธีศพของนักบิน ซึ่งในภายหลังนำมาใช้กับบุคคลสำคัญต่าง ๆ ด้วย นักบินจะบินเป้นรูป Flypast ที่ฝูงบินจะบินมาด้วยกันก่อนที่ลำหนึ่งจะบินฉีกแยกตัวออกไปลำเดียว ธรรมเนียมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในพิธีศพของกษัตริย์จอร์จที่ 5 ของสหราชอาณาจักร เมื่อปี 1936 ต่อมาสหรัฐฯ ก็นำมาใช้กับนายพลออสการ์ เวสโอเวอร์ ปี 1938 อย่างในเอเชียเองก็เคยมีการใช้ในพิธีศพของนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์เมื่อปี 2015
“ผมไม่อยากให้ใครใช้โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเป็นโครงของเนื้อเรื่อง มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก แต่มันคือการปลอบประโลมใจบางอย่าง เราใช้สิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นเนื้อเรื่องและเราได้ทำสิ่งที่งดงามและมีระดับ มันอาจเป็นช่วงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ไม่ใช่แค่ในอาชีพของผม แต่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลย เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้ชายทั่วโลกสามารถที่จะร้องไห้ด้วยกันได้” Diesel ให้สัมภาษณ์ไว้ไม่นานนี้ (ปี 2020)
.@VinDiesel says the final Paul Walker scene in #Furious7 is "the greatest moment in cinematic history”🏎🏍#Bloodshot #VinDiesel #FastAndFurious pic.twitter.com/fNkYaBNQVF
— NME (@NME) March 12, 2020
หนังรถซิ่งที่จะไปสู้กันถึงอวกาศก็คงจะไปได้ใน The Fate of the Furious ภาค 8
ด้วยความที่หนังภาค 7 ได้ใช้โอกาสในการร่ำลาตัวละครไบรอันของ Paul Walker ทำให้ความสะเทือนใจกลายเป็นแรงผลักดันให้หนังประสบความสำเร็จทางรายได้นอกจากความสนุกของหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (เช่นเดียวกันกับในกรณีของ The Dark Knight (2008) ที่ผู้ชมแห่ไปดูเพราะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Heath Ledger ก่อนที่จะเสียชีวิต) ทำให้หนังภาคนี้ก็ถูกจับตามองว่า ท้ายที่สุดจะทำความสำเร็จได้ใกล้เคียงจากภาคที่แล้วหรือไม่ หนังเปลี่ยนมือผู้กำกับอีกครั้งเป็น F. Gary Gray ที่เคยทำหนังอาชญากรรมของคนผิวสีที่ฮิตพอประมาณในยุค 90s มาก่อนอย่าง Set It Off (1996) เคยทำหนังปล้นที่มีฉากไล่ล่าด้วยรถสุดระทึกอย่าง The Italian Job (2003) และเคยกำกับหนังที่ Diesel นำแสดงอย่าง A Man Apart (2003) “ผมไม่กดดันเพราะผมมีมุมมองของตัวผมเอง” ผู้กำกับให่สัมภาษณ์เอาไว้
ในภาคนี้หนังได้สองนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์มารับบทตัวร้ายและบทนำ ทั้ง Charlize Theron ที่เคยร่วมงานกับ Gray มาตั้งแต่ The Italian Job และ Helen Mirren จาก The Queen (2006) “ฉันอยากขับรถซิ่งในเรื่องนะ แต่โชคร้ายที่ฉันอด…ไม่แน่อาจจะได้ขับในหนัง Fast 12” เธอกล่าวอย่างติดตลก ที่เธอไม่ได้ขับรถซิ่งเลยเพราะมารับบทเป็นแม่ของเด็ดคาร์ดและโอเว็น ชอว์ที่กลายเป็นเข้าพวกเป็นตัวดีฝั่งเดียวกับดอม ที่ทำให้แฟน ๆ Fast ส่วนหนึ่งเสียเส้นไปเหมือนกันกับการกลับลำอย่าง่ายดายเกินไปของตัวร้ายในภาคก่อนสองตัวนี้ สุดท้ายแม้หนังจะไม่สามารถโค่นสถิติรายได้ของภาค 7 ลงได้ แต่หนังก็ทำรายรับรวมทั่วโลกข้ามหลักพันล้านเหรียญฯ ไปที่ 1,236 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ 250 ล้านเหรียญฯ
เมื่อมีการประกาศสร้างมาถึงภาค 8 แล้ว Diesel ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังด้วยก็กล่าวว่า หนังน่าจะเดินเรื่องไปจบที่ภาค 10 ซึ่งจะเป็นภาคสุดท้าย ขณะที่ Universal ก็ไม่ปล่อยให้แฟรนไชส์นี้ต้องสูญสิ้น ด้วยการแตกหน่อขยายจักรวาลที่เริ่มไปแล้วกับ Hobbs & Shaw (2019) ที่ก็ทำรายได้ทั่วโลกไป 759 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญฯ และ Universal ก็พอใจกับรายได้นี้จนเดินเครื่องสร้างภาค 2 ของภาคแยกนี้เป็นที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ประกาศกำหนดถ่ายทำและเข้าฉายในตอนนี้
เกร็ดเบื้องหลังนักแสดงตลอดทั้ง 8 ภาค
- 2 Fast 2 Furious (2003) เป็นภาคเดียวที่ไม่มี Vin Diesel นำแสดง และจากภาคแรกที่เขาได้ค่าตัว 2.5 ล้านเหรียญฯ มาถึงภาค 5 เท่าที่เคยมีรายงานออกมา เขาอัปค่าตัวไปได้ถึง 15 ล้านเหรียญฯ
- ก่อนบท “ไบรอัน” จะตกมาถึงมือของ Paul Walker เคยมีการเสนอบทนี้ให้กับ Mark Wahlberg, Christian Bale และแรปเปอร์อย่าง Eminem มาก่อน
- ก่อนบท “มีอา” จะตกถึงมือ Jordana Brewster บทนี้เคยถูกเขียนตั้งแต่แรกให้กับนักแสดง Eliza Dushku จาก Bring it On (2000) และ Wrong Turn (2003) แต่เธอปฏิเสธไป นอกจากนั้น Natalie Portman, Kirsten Dunst, Sarah Michelle Gellar และ Jessica Biel ก็เคยมาออดิชันบทนี้แต่พลาดไป
- Michelle Rodriguez ไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะได้กลับมาเล่นภาค 6 เพราะเธอก็เข้าใจว่าเล็ตตี้ตายไปแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ในภาค 4 จนกระทั่งเธอได้มาดูท้ายภาค 5 พร้อมกันกับผู้ชมทั่วไปว่า เล็ตตี้ยังไม่ตาย
- บทเทจของแรปเปอร์อย่าง Ludacris นั้นเคยจะตกเป็นของแรปเปอร์อีก 2 คนอย่าง Jarool ที่มารับบทเล็ก ๆ ในภาคแรก และ Redman ที่คิวไม่ว่างตอนที่ทีมงานติดต่อไป
- จีเซล ตัวละครของ Gal Gadot เกือบได้ปรากฎตัวในภาค 7 ในฉากที่ย้อนไปเล่าขยายความเหตุการณ์ในภาค 4 ที่เธอช่วยเหลือเล็ตตี้ให้รอดตาย แต่สุดท้ายทีมสร้างตัดสินใจไม่เอาเธอกลับมา
- Jason Statham เกือบจะได้รับบท “ลุค ชอว์” ของ Luke Evans มาตั้งแต่ภาค 6 แต่ตอนนั้นเพราะติดคิวหนังเรื่อง Parker (2013) และ Wild Card (2015) ต่อมา Vin Diesel ก็ยังอยากร่วมงานกับ Statham ให้ได้ เลยชวนกลับมาเล่นภาค 7 อีกที
การกลับมาของภาค 9 พร้อมคำนิยามชื่อแฟรนไชส์ว่าเป็น The Fast Saga
ภาค 9 นี้ ต้อนรับผู้กำกับ Justin Lin กลับสู่อ้อมอกของแฟรนไชส์อีกครั้ง รวมถึงการได้นางร้าย Charlize Theron ในบท “ไซเฟอร์” กลับมาด้วย คนดูจะได้เห็นครอบครัวของทอเร็ตโตและลูกชายตัวน้อย พร้อมกับภรรยา “เล็ตตี้” และยังได้นักมวยปล้ำที่มาเอาดีทางการแสดงอีกคนอย่าง John Cena เข้าสู่แฟรนไชส์ กับบทบาท “น้องชายของดอม” ที่จะมาเป็นคู่ปรับคนใหม่ แต่ตัวอย่างก็ชวนให้น่าคิดว่า จะเป็นตัวร้ายปลอม ๆ ที่ต้องไปตามดูตัวร้ายจริงในเรื่องกันอีกที
การกลับมาของผู้กำกับ Lin ที่พาตัวละครสุดรักของเขา (รวมถึงนักแสดงคู่บุญอย่าง Sung Kang) อย่าง “ฮาน” กลับมาด้วย ก็สร้างความฉงนและความเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ กรี๊ดแตกว่าตัวละครที่ตายไปแล้วตัวนี้ยังจะกลับมาอีท่าไหนได้ “ตอนที่ผมแยกออกมาจากแฟรนไชส์ใน ภาค 6 ผมรู้สึกว่าได้วางเรื่องราวของตัวละครฮานให้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วในเวลานั้น แต่มันก็มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งไม่ค่อยเข้าท่าสำหรับผมในเวลาต่อมา ผมคิดว่าจะโอเคไหมที่เราจะเอาเขากลับมาอีก มันขึ้นอยู่กับเราที่จะนำฮานกลับมายังไง เพื่อที่จะนำบรรยากาศเก่า ๆ ที่เราคุ้นเคยกลับมาด้วย ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก” ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องง่ายจริง ๆ กับการให้เหตุผลที่ไม่หลุดโลกมากว่าฮานยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง?
ในภาคนี้อาจมีดรามาเฟมินิสต์เล็ก ๆ เกิดขึ้น เมื่อนักแสดงสาว Michelle Rodriguez ออกมาโพสต์ข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวว่า “ฉันก็หวังว่าทีมงานจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความรักและเคารพที่มีต่อตัวละครเพศหญิงในภาคต่อไป หรือไม่ก็อาจเป็นฉันที่ต้องบอกลาหนังแฟรนไชส์สุดที่รักนี้” ก่อนหน้านี้ Rodriguez เคยออกมาแสดงความคิดเห็นตอนที่ภาค 8 เพิ่งเปิดตัวฉาย ว่าหนังให้ความสำคัญกับฉากบู๊แอ็กชัน โฟกัสไปที่ความแข็งแกร่งของผู้ชายมากเกินไป ซึ่งเธอมองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในสังคมโลก
หรือ “ไบรอัน” จะกลับมาอีกหน?
ในตัวอย่างของหนังภาค 9 เปิดขึ้นมาด้วยเพลง See You Again ซึ่งผู้กำกับ Justin Lin ที่กลับมาด้วยกับภาคนี้ เผยว่า ที่เลือกเพลงนี้ขึ้นต้นเพราะอยากจะเน้นเรื่องความผูกพันของครอบครัวมากขึ้นไปอีก ชวนให้สงสัยว่าหรือตัวละครไบรอันของ Paul Walker จะกลับมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ Vin Diesel ก็เคยลงรูป Cody Walker พี่ชายของ Paul Walker มาเยี่ยมกองถ่ายด้วย แต่ล่าสุด นักแสดงร่วมในเรื่องอย่าง Tyreese Gibson ก็ได้เปิดเผยว่า ครอบครัวของ Paul อยากให้บทไบรอันสิ้นสุดลงแค่ภาค 7 เท่านั้น “จากที่ผมได้พูดคุยกับพ่อแม่ของ Paul พวกเขาต้องการให้หนังภาค 7 เป็นเรื่องสุดท้ายของไบรอัน และพวกเขาได้ส่งข้อความมาอวยพรตอนรอบปฐมทัศน์ของ Fast 8 ให้หนังเดินหน้าต่อไป และพวกเขาพร้อมให้การสนับหนุนหนังตลอดไป”
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส