[รีวิว] One Cut of the Dead Mission: Remote เมื่อทีมสร้างหนัง One Cut of The Dead อยากลองดีถ่ายทำหนังช่วงโควิด-19 พร้อมตัวละคร 100 ตัว!

Release Date

01/05/2020

One Cut of the Dead Mission: Remote

หนังสั้นเติมพลังใจได้ยิ้มได้ซึ้ง ในช่วงโควิด-19 จากฝีมือทีมสร้างหนังแห่งปีอย่าง One Cut of the Dead

[รีวิว] One Cut of the Dead Mission: Remote เมื่อทีมสร้างหนัง One Cut of The Dead อยากลองดีถ่ายทำหนังช่วงโควิด-19 พร้อมตัวละคร 100 ตัว!
Our score
10.0

One Cut of the Dead Mission: Remote

มันอาจไม่ใช่เพียงหนังสั้นแต่คือกำลังใจยิ่งใหญ่ในทางหนึ่ง

จุดเด่น

  1. พลังความคิดสร้างสรรค์ และลูกบ้าของทีมงาน ที่ส่งพลังงานทะลุหนังออกมาเติมยิ้มเติมความหวังให้คนดูได้อย่างไม่มีที่ติในช่วงเวลาที่ชวนหดหู่เหลือเกิน

จุดสังเกต

  1. เป็นหนังภายใต้โพรเจ็กต์พิเศษ เลยมีความยาวไม่มากนัก
  2. ยังไม่มีซับอังกฤษ และซับไทย
  • การเล่าเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์

    10.0

  • การแสดง

    10.0

  • ความสนุก อรรถรสในการรับชม

    10.0

 เนื่องจากตอนนี้ในยูทูบมีเพียงภาษาญี่ปุ่นให้รับชม จากเท่าที่ลองดูแค่พอทราบเรื่องย่อ และอาศัยการ Auto-Translate ซับไตเติ้ลของหนังเป็นภาษาไทย ก็ถือว่าดูรู้เรื่องราว ๆ 80-85% เลยทีเดียว อีกราว 15% นั้นอาจแปลบิดเบี้ยวบ้าง แต่ก็ยังพอเดาได้ว่าจริง ๆ พูดว่าอะไร และถ้าอยากให้ดูใกล้เคียงต้นฉบับขึ้นก็ลองเลือกแปลเป็นภาษาอังกฤษดู แต่เนื่องจากเรื่องราวไม่ได้ซับซ้อนมาก และความยาวก็แค่ครึ่งชั่วโมง ทั้งการแสดงสีหน้าท่าทางและวิธีการเล่าเรื่องมันก็ทำให้รู้เรื่องอยู่พอประมาณแล้ว ใครอดรนทนไม่ไหวสำหรับคนใจดีมาช่วยแปลซับไทยดี ๆ ก็ดูแบบนี้ไปก่อน ได้อรรถรสไม่แพ้กันครับ

update: ตอนนี้ทางทีมงานสร้างได้ปล่อย ซับอังกฤษมาให้ชมแล้วนะครับ 

ชมหนังได้ที่นี่

ระหว่างที่บ้านเราหลายกองถ่ายประสบปัญหาต้องถ่ายทำไม่เกิน 5 คน จนกลายเป็นกระแสฮือฮากุมขมับกันในหมู่โพรดักชันเฮาส์ไทย ตลอดจนเป็นมีมขำขันในโลกโซเชียลอย่างแพร่หลาย และก็มีบางบริษัทที่ทดลองการถ่ายทำแบบอยู่กับบ้านอย่างเช่นในซีรีส์ กักตัว ของทางค่ายนาดาว ที่ทำออกมา 2 ตอนแล้ว โดยสื่อสารผ่านตัวละครที่ใช้จอคอมพิวเตอร์คุยกันเป็นหลักและมีตัวละครในเรื่องเพียง 2-3 คน เป็นลักษณะหนังสั้น ก็ดูเป็นอีกการเอาตัวรอดทางศิลปะที่อาศัยโจทย์ยาก ๆ มาบังคับให้ความคิดสร้างสรรค์ขยายกว้างขึ้นด้วย

และเช่นกัน ตอนนี้โลกออนไลน์ฝั่งญี่ปุ่นก็กำลังได้รับชมผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์สุดบรรเจิดจากทีมงานหนัง One Cut of The Dead ที่เคยเป็นหนังในดวงใจใครหลายคน ตลอดจนสามารถแซง Endgame ของมาร์เวลเป็นหนังแห่งปีในบางสำนักวิจารณ์ได้สำเร็จด้วย โดยตอนนี้ ผู้กำกับ อูเอดะ ชินอิจิโระ ได้นำทีมนักแสดงจากหนังซ้อนหนังซอมบี้กลับมารวมทีมกันใหม่อีกครั้ง ด้วยโพรเจกต์ Save the Cinema เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโรงหนังขนาดเล็กทั่วญี่ปุ่นที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ภายใต้ชื่อ Mini-Theater AID

ผู้กำกับ อูเอดะ ชินอิจิโระ
โครงการระดมทุน Mini-Theater AID

โดยเหตุการณ์ในหนังเริ่มขึ้นคล้ายครึ่งหลังของหนัง One Cut of The Dead เมื่อผู้กำกับ ฮิกุราชิ (ตัวละครเดิมจากหนัง One Cut of The Dead ) ได้รับการติดต่อจากโพรดิวเซอร์รายการทีวีเจ้าเดิมที่เคยมอบโจทย์ท้าทายให้ในรอบก่อน (เรื่องการถ่ายหนังซอมบี้เทคเดียวโดยออกอากาศแบบไลฟ์สด) มาครั้งนี้โจทย์คือ ช่วยถ่ายหนังสารคดีจำลองเหตุอาชญากรรมสุดประหลาด โดยต้องไม่แหวกกฎควบคุมในช่วงโควิด-19 นี้ด้วย กล่าวคือ ห้ามมารวมตัวกัน ห้ามเจอกัน เด็ดขาด

รอบที่แล้วก็โจทย์ยากมาทีแล้วนะ

ผู้กำกับฮิกุราชิ จึงได้ประชุมวิดีโอคอลคุยกับนักแสดงและทีมงานเก่าของตนเอง ให้กลับมาทำงานร่วมกัน เราจะได้เห็นตัวละครกลุ่มเดิม คาแรกเตอร์เดิม คือใครชอบหนังเรื่องก่อนหน้าจะต้องกรี๊ดกับเรื่องนี้ด้วยแน่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลุงขี้เมาโฮโซดะที่ยังคงไม่สร่างอยู่เช่นเดิม น้องนางเอกแสนโมเอะที่ห่วงเรื่องหน้าตาผิวพรรณไว้ก่อนล่ะ แล้วก็พระเอกดังแต่หน้าตายและมุ่งสร้างการแสดงระดับรางวัลเมืองคานส์ในหนังระดับฉายทีวีอยู่เป็นนิจก็คงกลับมาเช่นกัน

“นายทำได้ใช่มั้ย” “ด..ได้ครับ”

ความดีงามของหนังเรื่องนี้ยังคงเป็นบรรยากาศความตลกแบบญี่ปุ่นตั้งแต่ หน้าเหวอ ๆ ฮา ๆ ของผู้กำกับตอนที่ได้รับโจทย์แบบบอกปัดให้วุ่น แต่สุดท้ายก็จำยอมรับมาเพราะไม่มีงานเข้ามาเลย ค่อยไปตายเอาดาบหน้า และไม้ตายของหนังก็คือบรรดาวิธีการเอาตัวรอดของทีมงานนี้ที่พยายามทำหนังออกมาให้สำเร็จ เรียกว่าต้องงัดทุกกลเม็ดเด็ดพรายมาทดแทนข้อจำกัด ซ้ำตัวละครเจ้าปัญหาแต่ละตัวก็ยังวนเวียนมาเพิ่มงานงอกระหว่างถ่ายทำได้สนุกสนาน ชวนคิดว่าถ้าเป็นเราจะแก้ปัญหายังไง เวลาดูอะไรแบบนี้ก็เหมือนเราได้มีส่วนร่วมไปกับหนังด้วย ซึ่งในส่วนของรายละเอียดการเอาตัวรอดในเรื่องนี้คงเล่าไม่ได้จริง ๆ ต้องไปชมกันเอง แต่บอกได้เลยว่ายังเจ๋งและฮาเช่นเดิม

ด้วยความยาวหนังเพียง 24 นาทีกว่า ๆ จัดเป็นหนังสั้นที่ดูสนุกตั้งแต่เริ่มจนจบ แถมยังเป็นการใช้หน้าจอประชุมออนไลน์มาทำหนังตลกได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย คือที่ผ่านมาหนังแนวสืบสวน แนวเขย่าขวัญ หรือแนวสยองขวัญ อาจเคยใช้วิธีการเช่นนี้มาก่อนแล้ว ทั้ง Searching (2018) ที่ จอห์น โช ต้องมาตามหาลูกสาวโดยเล่าผ่านหน้าจอออนไลน์ทั้งเรื่อง หรือหนังอย่าง Unfriended (2014) ที่เหล่าแก๊งเพื่อนวัยรุ่นมาวิดีโอมีตติงแล้วค่อย ๆ ถูกสิ่งลี้ลับฆ่าตายไปทีละคน แต่การนำเทคนิคการเล่าเรื่องแบบนี้มาใช้กับหนังตลกมันท้าทายกว่าเยอะมาก เพราะหนังตลกคือหนังที่อาศัยจังหวะ เคมีของการแสดง และบทหนังที่เข้าใจง่ายลื่นไหลเป็นธรรมชาติ และเพียง 24 นาที ผู้กำกับ อูเอดะ ชินอิจิโระ ก็ได้โชว์การนำความบกพร่องมาเป็นจุดแข็งให้ได้เรียนรู้กันอีกครั้ง

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือสิ่งที่ทีมงานพยายามสื่อในช่วงท้ายของหนัง ยิ่งเมื่อประกอบกับหลังเครดิตหนังที่ผู้กำกับอูเอดะได้ออกมาเผยความในใจของตนเองว่าพวกเขาเหล่าคนทำหนังยังไม่ถอดใจ แม้อุปสรรคในการมอบความบันเทิงจะมากมายล้นพ้นอยู่ภายหน้า โรงหนังอาจจะถูกปิดได้ แต่พวกเขาก็จะมอบความสุขผ่านทางออนไลน์ให้ทุกคนได้ยิ้มได้อีกครั้งอยู่ดี

และความเหนือชั้นยิ่งกว่าความตลกที่เราได้รับ คือฉากท้ายของหนังยังแฝงไปด้วยความคิดถึงโรงหนัง พูดถึงความหวัง สิ่งที่อยากฝากไปถึงคนทำหนังและคนดูหนังทุกคน ที่กลายเป็นอีกฉากชวนซึ้งปนยิ้มได้อย่างยอดเยี่ยมสมกับเป็นหนังฟีลกู้ดญี่ปุ่น ว่าสุดท้ายแล้ว ไม่มีอะไรจะมาขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ และการเล่าเรื่องของมนุษย์ได้ ดูแล้วก็มีพลังงานมีความฝันแทนกองถ่ายบ้านเราว่า 5 คนก็ 5 คนสิวะ อย่าให้อะไรพวกนี้มาหยุดเราง่าย ๆ

สู้ ๆ ครับนักเล่าเรื่องชาวไทย อย่ายอมแพ้ใครบนโลกนี้

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส