วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ต้องบันทึกไว้ว่าสถานประกอบการประเภทโรงภาพยนตร์ได้รับอนุมัติให้เปิดทำการได้อีกครั้ง หลังจากหยุดยาวมาตั้งแต่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สำหรับภาคธุรกิจต้องบอกว่าส่งผลกระทบกันเป็นระลอกคลื่นไปทั้งวงการไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ แต่นั่นคงเป็นเรื่องไกลตัวเราเกินไปที่จะต้องไปห่วง
หากแต่มองเพียงในฐานะผู้บริโภคทั่วไป การที่โรงหนังเปิดวันแรกเชื่อว่าหลายคนก็คงมีคำถามบางอย่างในใจที่เกี่ยวพันกับตัวเราเอง เช่นว่า เปิดห้างยังมีคนแนะนำให้เว้นช่วงสัปดาห์แรกไปก่อน แล้วไปดูหนังควรต้องเว้นช่วงแรกไปก่อนด้วยไหม, โรงหนังเป็นสถานที่ปิดและมีผู้ใช้บริการหลากหลายกลุ่มมาใช้ มาตรการป้องกันที่เครือโรงหนังให้สัญญาไว้จะเข้มงวดจริงตามนั้นหรือเปล่า ตลอดจนว่าการดูหนังกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า เหล่านี้เองที่เราก็อยากทราบเช่นกัน จึงได้ทดลองไปชมหนังในวันแรกของการเปิดและสังเกตจุดที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟัง
ภาพรวมของผู้ชมวันแรก
ด้วยความที่วันแรก (และรวมถึงวันที่ 2) โรงหนังจะยังไม่มีโปรแกรมหนังใหม่เข้าฉายเลย หากเพียงแต่เป็นการรีรันหนังที่ฉายอยู่ก่อนหน้าช่วงที่ปิดยาวมาฉายใหม่ และการเลือกเปิดจำนวนโรงฉายเพียงครึ่งเดียวจากที่มีทั้งหมด ประกอบกับช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่บังคับให้โรงหนังจัดโปรแกรมฉายได้ไม่ดึกเช่นเคย จึงไม่น่าแปลกใจนักว่าคอหนังทั้งหลายจึงยังไม่กลับมาเต็มที่
- เพราะอาจอยากรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจน ให้หน่วยกล้าตายไปลองมาก่อนดีกว่า
- ถึงมั่นใจในโรงหนัง แต่มันไม่มีเรื่องใหม่ ๆ ที่อยากดูหรือที่เอามาฉายก็ดูไปหมดแล้ว ก็คงเป็น 2 ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้โรงหนังยังเงียบเหงา
จากข่าวและการสอบถามคนรู้จักก็พอทราบว่าโรงหนังใจกลางเมืองอย่างย่านปทุมวันก็ไม่ได้คึกคักแต่อย่างใด ส่วนโรงหนังย่านชานเมืองซึ่งผู้เขียนเลือกมาสังเกตเอง โดยเลือกโซนรังสิต ที่มีทั้งโรงหนังที่อยู่ในห้างอย่าง เมเจอร์ฟิวเจอร์ปาร์กรังสิต และโรงหนังที่ตั้งแยกออกมาเองอย่าง เมเจอร์รังสิต ก็พอกล่าวจากสิ่งที่เห็นได้ว่า เงียบพอ ๆ กัน แม้ทางฝั่งโรงในห้างจะได้ความคึกคักของคนมาเดินห้างช่วยได้บ้างแต่พอเข้าไปโซนขายตั๋วก็หันเจอแต่พนักงานยิ้มให้
หากปกติคือมีคนมาเดินเลเวลสัก 10 วันนี้ก็เลเวลแค่ 1 เท่านั้น ตอนเดินเข้าโซนโรงหนังนับแล้วพนักงานยังมากกว่าคนดู และความรู้สึกคือตอนมาดูหนังรอบดึกมาก ๆ ก่อนหน้านี้ยังดูมีคนมากกว่าไพรม์ไทม์ในห้วงเวลานี้
ผู้เขียนเลือกชมหนังอย่าง The Invisible Man ซึ่งยังไม่ได้ดู และคิดว่าเป็นหนังแบบที่ต้องใช้พลังของโรงหนังขับเน้นอรรถรสเท่านั้นด้วย ซึ่งก็สาแก่ใจจริง ๆ แต่ที่คาใจกว่าคือ ไม่รู้ว่าตัวละครในหนัง หรือจำนวนคนมาดูหนัง อย่างไหนมัน Invisible กว่ากันแน่
แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอะไร เพราะมันก็คาดเดาได้อยู่แล้วจากปัจจัยที่ว่ามาว่าคงเงียบเหงาประมาณหนึ่ง หากแต่ถ้าวันที่ 3 นี้ ซึ่งจะเริ่มมีหนังใหม่ลงโปรแกรม แล้วถ้าคนดูยังสภาพนี้อยู่ นั่นล่ะค่อยน่าเป็นกังวล แต่ก็แค่นิดหนึ่ง เพราะยังไม่มีหนังใหญ่จริง ๆ เข้าโรงอยู่ดี แค่คาดหวังว่าเมื่อมีหนังใหม่คนก็ไม่ควรน้อยเท่าตอนที่เอาหนังเก่ามาฉายแค่นั้น
ความสะอาด ความปลอดภัย มาตรการต่าง ๆ
ก่อนถึงโรงหนัง มีหลายอย่างที่ยังสงสัยว่าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่มั่นใจและค่อนข้างเชื่อว่าน่าจะทำได้ดีแน่ ๆ สำหรับโรงหนังที่ผ่านประสบการณ์โชกโชนในการรับมือโรคระบาดอย่างซาร์ หรือไข้หวัดใหญ่มาแล้ว หรือแม้แต่มาตรการที่เพิ่มเข้ามาก่อนที่จะปิดโรงก็เรียกว่า เขาระวังแทนคนดูไว้เยอะทีเดียว ทั้งเรื่องพนักงานสวมหน้ากาก มีเจลแอลกอฮอล์บริการ การฉีดพ่นเช็ดถูใช้แสงยูวีฆ่าเชื้อต่าง ๆ
สำหรับสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในตอนนี้ เป็นการบังคับในส่วนของผู้ชมเพิ่มให้สวมหน้ากากอนามัยระหว่างการใช้บริการ การเว้นระยะห่าง ทั้งการรอคิวซื้อตั๋วและซื้อน้ำซื้ออาหารก่อนเข้าโรงหนัง (สามารถซื้อเข้าไปทานในโรงได้แน่นอนจ้า) และทั้งการเว้นที่นั่งในโรงหนังอย่างน้อย 2 เบาะ และให้นั่งแถวเว้นแถวตามนโยบาย Social Distancing ซึ่งถูกบังคับตั้งแต่ขั้นตอนการจองตั๋วซื้อตั๋วแล้ว
ความเข้มงวดของพนักงานก็จัดว่าแข็งขันอย่างดี ทั้งการวัดไข้ก่อนเข้าโรง และการกำชับเรื่องสแกนโค้ดไทยชนะก่อนเข้าชมหนัง และตอนนี้นอกจากสวมหน้ากากแล้วพนักงานยังใส่ถุงมือและมีเฟซชิลด์สวมทุกคนอีกด้วย
สำหรับความรู้สึกเรื่องความสะอาดก็ถือว่าทำได้ดี ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสถานที่อับที่ปิดทำการมาหลายเดือนแต่อย่างใด ตรงนี้ก็ค่อนข้างไว้ใจผู้ให้บริการว่าน่าจะจัดเตรียมมาอย่างดีอยู่แล้วเพื่อให้รัฐบาลอนุมัติให้เปิดได้
การดูหนังเป็นเรื่องที่ต้องพยายามขึ้น ยากขึ้นหรือเปล่า
ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าคำตอบคือ ใช่ แต่ก็เป็นความยากที่สมเหตุสมผลจึงไม่ใช่เรื่องน่าบ่น แต่ก็ต้องบอกให้เตรียมใจด้วยเล็กน้อย ขั้นตอนมันจะมากขึ้น เราต้องผ่านจุดคัดกรอง ต้องสแกนไทยชนะ และถ้าช่วงที่หนังดัง ๆ เข้าโรงคนมากขึ้น ก็ต้องเตรียมทำใจกับจำนวนตู้ซื้อตั๋วหนังที่จำนวนลดลง และที่ยืนรอคิวที่ต้องห่างขึ้นทำให้แถวยาวล้นได้ง่าย
ซึ่งจริง ๆ ก็แก้ได้ด้วยการไปทำให้แอปมีความสามารถเท่าการซื้อตั๋วที่ตู้ ในจุดสำคัญคือการใช้โปรโมชันต่าง ๆ ซึ่งหลายตัวยังบังคับให้ต้องทำที่ตู้หรือกับพนักงานเท่านั้น
รอบฉายที่ลดลงก็จะทำให้อารมณ์คนดูสายชิลแบบจะไปตอนไหนก็มีรอบใกล้สุดให้ดู คงเป็นไปได้ยากแล้ว การดูหนังต้องการวางแผนทั้งเรื่องเวลา การเดินทาง และการจองตั๋ว ที่มากขึ้นไปอีก ดังว่าอุปสงค์สูง อุปทานต่ำ ก็วุ่นวายเป็นธรรมดา ยังดีว่าในวันเปิดโรงวันแรกอุปสงค์ก็ต่ำด้วยเลยยังไม่เห็นว่าจะมีปัญหาหรือไม่
และพูดถึงเรื่องถ้าคนเยอะเพราะหนังดัง จำนวนที่นั่งที่น้อยลง รอบฉายที่น้อยลง ก็คงกระทบและสร้างความหงุดหงิดให้คนที่อยากชมหนังไม่น้อยที่อยากชมหนังแต่ไม่สามารถชมได้เพราะรอบเต็มโรงเต็มง่ายกว่าปกติ แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องไกลตัวซึ่งการผ่อนปรนของรัฐบาลอาจปลดล็อกหมดก่อนที่หนังใหญ่จะเข้าก็ได้ และคิดว่าถึงยังมีกรอบควบคุมอยู่ โรงหนังก็น่าจะคิดมาตรการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว (นี่ก็ขอมองโลกแง่ดีเลยล่ะ)
เรื่องที่ผู้เขียนไม่ได้เตรียมใจไปและรู้สึกต้องปรับตัวมากที่สุดในวันแรกนี้ คือเรื่องระบบปรับอากาศในโรงหนัง ไม่แน่ใจว่าปิดแอร์หรือลดการทำงาน ไม่ว่าจะเพื่อประหยัดต้นทุนหรือคำนึงถึงการใช้ระบบอากาศที่ไหลในที่ปิดจะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดไวรัส จะเป็นแบบไหนก็ไม่ทราบ แต่นั่งดูไปเหงื่อซิบไป ถึงขั้นต้องหาอะไรมาพัดช่วย ยิ่งการชมหนังโดยใส่หน้ากากตามมาตรการของโรงหนังในโรงที่เหมือนไม่มีแอร์นี้มันก็อึดอัดไม่เบา
สรุปว่ายังเอาใจช่วยทุกคน ทั้งโรงหนังและคนดูเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวเข้าหากันหลายอย่าง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ชมอย่างเรา ๆ ทั้งนั้นล่ะ และถ้าโรงมาตรการเข้ม เราคนดูก็อย่าปล่อยการ์ดหย่อนเด็ดขาด ถ้ามาตรฐานการดูหนังเราดี โอกาสได้ชมหนังใหญ่ที่เฝ้ารอก็จะมาถึงง่ายขึ้นด้วยนะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส