[รีวิว] 32 Malasana Street 32 มาลาซานญ่า ย่านผีอยู่ – อยู่บ้านผิด ระวังเจอผี อีหยังวะ

Release Date

25/06/2020

แนวภาพยนตร์

สยองขวัญ

เรต

PG

ความยาว

104 นาที

ผู้กำกับ

Albert Pinto

[รีวิว] 32 Malasana Street 32 มาลาซานญ่า ย่านผีอยู่ – อยู่บ้านผิด ระวังเจอผี อีหยังวะ
Our score
6.3

Malasana Street | 32 มาลาซานญ่า ย่านผีอยู่

จุดเด่น

  1. บรรยากาศหลอนน่ากลัวจัดเต็มจริง ๆ
  2. เล่นกับความมืดและแสงไฟได้ดีทีเดียว
  3. ปูทางบรรยากาศหลอนมาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย

จุดสังเกต

  1. เป็นเพียงการหยิบเอาเรื่องสยองของย่านที่มีคนตายเยอะมาใช้แค่นั้น บทไม่ได้มีอะไรที่เชื่อมโยงกับเรื่องจริงเลย
  2. Jump Scare เสียงดัง และจังหวะตกใจจะเยอะไปไหน
  3. ปมปัญหาที่เหมือนยังเคลียร์ไม่เสร็จ เลยออกมาแบบงง ๆ ลอย ๆ
  4. ตัวหนังปูเรื่องและเล่นตกใจกับคนนานมากโดยที่แทบไม่ได้ปูเรื่องอะไรให้เลยในครึ่งแรก
  • ความสมบูรณ์ของเนื้อหา

    6.7

  • คุณภาพงานสร้าง

    8.5

  • คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง

    5.0

  • การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง

    6.6

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    4.7

https://www.youtube.com/watch?v=Pl9yr3BgLFY
สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

เรื่องย่อ – เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1976 เมื่อครอบครัวอัลเมโด ย้ายจากบ้านหลังเก่าย่านชนบทเข้ามายังบ้านใหม่ในย่านมาลาซานญา กรุงมาดริด พวกเขาทุกคนตื่นเต้นที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงกลางช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของประเทศสเปน แต่มีสิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ บ้านหลังนี้มีบางอย่างแถมมาด้วยซึ่งมันไม่ต้อนรับผู้มาเยือนหน้าไหนทั้งนั้น ซึ่งมันพร้อมเปลี่ยนการเริ่มต้นครั้งใหม่เป็นฝันร้ายที่ไม่มีทางลบเลือน

คอหนังสยองขวัญหลายคนย่อมซูฮกให้กับหนังสยองขวัญสัญชาติสเปน ซึ่งจะว่าไปก็มีหลายเรื่องที่ได้รับคำชมถึงความโหดเฮี้ยนหลอน เช่น The Devil’s Backbone (2001) Pan’s Labyrinth (2006) REC (2007) และ The Orphanage (2007) ฯลฯ เรียกว่า มีตามกันมาเพียบจนแยกออกมาเป็นอีกแนวได้แล้ว

เพราะไม่ใช่แค่ความน่ากลัวของวิญญาณที่มาหลอกหลอน แต่ยังเป็นเรื่องของการวางปมปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้วิญญาณไม่ใช่แค่สิงสู่อยู่ในที่แบบไม่ยอมไปผุดไปเกิดเท่านั้น แต่ยังผนวกกับเรื่องของปมความแค้น ทั้งปมของวิญญาณเอง และปมของผู้คนที่เข้าไปยุ่มย่ามกับวิญญาณนั้น ทำให้วิญญาณกลายเป็นวิญญาณแค้น และหนังผีสเปนก็กลายเป็นหนังผีที่ทั้งแปลกใหม่ หักมุม ดุ โหด และเฮี้ยนแบบสุด ๆ

มาปีนี้ แนวตระกูลหนังผีสเปนก็มีหนังเรื่องใหม่ออกมา นั่นก็คือ “32 Malasana Street ย่านผีอยู่” นั่นเอง ซึ่งตัวหนังไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอาหารอย่างลาซานญา หรือชื่อไทยก็ไม่ได้มาจากคำอีสาน “ย่านผีอยู่” (กลัวผีนะ) แต่อย่างใด

แต่ชื่อมาลาซานญา คือชื่อของย่าน Malasaña ซึ่งเป็นชื่อย่านหนึ่งในกรุงมาดริด ประเทศสเปนต่างหาก ซึ่งย่านนี้โดยเฉพาะถนนอัลโตนิโอ กริโล (Antonio Grillo) ที่เป็นถนนที่ขึ้นชื่อว่า เคยเป็นแหล่งการค้าขนาดใหญ่ แต่แล้วก็เสื่อมโทรมลง เพราะเกิดคดีอาชญากรรม คดีฆาตกรรม และคดีฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดหลายร้อยคดี แถมยังมีสุสานทารกสำหรับฝังศพทารกที่ทำแท้ง และจากคลินิกทำแท้งในช่วงสงคราม แถมยังเป็นถนนที่เต็มไปด้วยการคอรัปชัน การกดขี่ข่มเหงจากชนชั้นปกครอง ก็เลยส่งผลทำให้ถนนเส้นนี้มีอัตราผู้เสียชีวิตมากที่สุดในกรุงมาดริดอีกด้วย ซึ่งทำให้ย่านมาลาซานญานี้ ถูกพูดถึงในฐานะของย่านต้องคำสาป ที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์วิญญาณเฮี้ยนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้น มาสิงสถิตมากมายนับร้อยปีไปในที่สุด

ซึ่ง Albert Pinto ผู้กำกับเจ้าของรางวัล Audience Award จากเวที Sitges Festival ก็ได้หยิบเอาตำนานย่านอาถรรพ์นี้มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยผูกเรื่องให้ พ่อ แม่ ลูก 3 คน และคุณปู่ใน “ครอบครัวอัลเมโด” ตัดสินใจขายบ้านเพื่อจะเข้ามาอยู่ในบ้านเล็ก ๆ เลขที่ 32 ในตึกย่านมาลาซานญา กรุงมาดริด เพื่อตามหาความฝันในเมืองใหญ่และมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แม้ว่าการมาอยู่ในเมืองหลวงจะสร้างความลำบากหลาย ๆ อย่างให้กับทั้งครอบครัวนี้ แต่เพราะเงินก้อนสุดท้ายจากการขายบ้าน จำต้องจ่ายค่าเช่าบ้านไปเกือบทั้งหมดแล้ว พวกเขาจึงไม่มีทางเลือก

จนกระทั่งแอมพาโร (Begoña Vargas) ลูกสาวคนโตของบ้านที่ฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส ได้ค้นพบความลึกลับไม่ชอบมาพากลในรูปของวิญญาณหญิงชราที่มาคุกคามชีวิตของครอบครัวนี้เป็นคนแรก ไม่ว่าจะตั้งแต่การเข้าสิงคนในครอบครัว หรือการลักพาน้องราฟาเอล (Iván Renedo) ลูกชายคนสุดท้องวัย 5 ขวบ น้องชายของแอมพาโรไปซ่อนในที่ลึกลับ

ซึ่งโทนโดยรวมของหนังเรื่องนี้ก็คือบรรยากาศของย่านมาลาซานญา กรุงมาดริด ประเทศสเปนในช่วงยุค 1970 ที่ปกคลุมไปด้วยช่วงเวลายุค 70’s ที่ลำพังมันก็มีความน่ากลัวด้วยบรรยากาศอยู่แล้ว ข้าวของ อาคาร บรรยากาศรอบตัว โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่ถ้าไม่มีไฟก็คือมืดตึ้บไปเลย ผนวกกับเรื่องราวของวิญญาณอาฆาตที่ถูกจองจำไว้ในที่จำกัด ความโหดร้ายของวิญญาณที่ต้องทุกข์ทนทรมาน แรงแค้นของสิ่งลี้ลับที่พร้อมจะปลดปล่อยคำสาป มนต์ดำ หรือสิงสู่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามที่เข้าไปยุ่มย่ามกับวิญญาณชั่วร้าย ยิ่งพอมาผนวกเข้ากับกลิ่นอายความลึกลับ ไสยศาสตร์ กลิ่นอายแบบสเปนที่ผมก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน

สิ่งที่ผมว่าเป็นจุดเด่นที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้เลยคงเป็นเรื่องบรรยากาศนี่แหละครับ ที่สามารถเนรมิตบ้านเลขที่ 32 บนตึกชั้นสามย่านมาลาซานญาให้ออกมาทั้งคลาสสิกและน่ากลัวไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งอาคารภายนอก หรือภายในบ้านแต่ละห้องที่แม้ว่าเหตุการณ์จะอยู่ในยุค 70’s แต่เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งดูเก่าคร่ำคร่ากว่านั้นมาก คือเก่าชนิดที่ว่าผมเองรู้สึกได้กลิ่นอับชื้นในห้องนั้นเลย (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นโรงหนังหรือเปล่านะ 555)

รวมถึงห้องอื่น ๆ อย่างเช่นห้องใต้ดิน ที่ก็ดูรกรุงรังสุด ๆ เลย และที่สำคัญคือ ตัวหนังใช้ประโยชน์จากความมืดและซอกเล็กซอกน้อยได้คุ้มมาก เพราะปกติด้วยความที่ยุคนั้นมันคงไม่มีไฟส่องสว่างอะไรนอกจากหลอดไฟ เพราะฉะนั้นเวลากลางคืนก็เลยจะมืดแบบ มืดตึ้บไปเลย แล้วตัวบ้านทั้งห้องของครอบครัวตัวเอก ก็จะมีห้องนั่นซอกนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไอ้ความมืดและซอกต่าง ๆ ห้องโน้นห้องนี้นี่แหละที่ทำให้ภาพรวมของหนังดูน่ากลัวแบบทันตาเห็น

แถมตัวหนังเองก็ไม่ได้ประนีประนอมเลย เพราะเมื่อเริ่มเรื่องมาก็ปูบรรยากาศหลอน ๆ ในช่วง 4 ปีก่อนที่ครอบครัวนี้จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วย จนกระทั่งเมื่อครอบครัวนี้ย้ายเข้ามา ก็เริ่มที่จะมีบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจทั้งหลายแหล่ปรากฏอยู่ทั่วไปในหนัง ซึ่งก็ทำเอาหลอนและลึกลับกันตั้งแต่ต้นเรื่องเลย

(รีวิวยังมีต่อหน้า 2 นะครับ ไม่เชื่อก็ลองคลิกดู)

แน่นอนว่า ยังไงหนังผีสเปนก็คือหนังผีสเปน เรื่องบรรยากาศความหลอนหรือลี้ลับ ไม่น่าไว้วางใจ บอกได้เลยว่าจัดเต็มจริง ๆ นั่นแหละ แต่สิ่งที่ต้องทำใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ถ้าท่านคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะหยิบเอาตำนานย่านโหดที่มีคนตายทับถมมานับร้อย ๆ ปีมาใช้กันตรง ๆ เห็นทีจะต้องลดความคาดหวังลงมาหน่อยครับ เพราะตัวหนังไม่ได้เกี่ยวโยงอะไรเท่าไหร่กับตำนานเรื่องจริงเลย แค่ยืมสถานที่ แรงบันดาลใจ กลิ่นและบรรยากาศบางอย่างจากเรื่องจริงมาใช้แค่นั้นจริง ๆ

และที่สำคัญไปยิ่งกว่านั่นก็คือ การที่ตัวเนื้อเรื่องในครึ่งเรื่อง (หรือช่วงค่อนเรื่อง) แรก ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการเล่นกระชากอารมณ์คนดูเลย คือเป็นการเล่นสนุกกับจังหวะตุ้งแช่ Jump Scare และอาศัยจังหวะเล่นกับเสียงและความเงียบ ความมืดและความสว่าง โดยเล่าเรื่องของครอบครัวตั้งแต่ย้ายเข้ามาแล้วก็ค่อย ๆ เจอเรื่องลี้ลับแค่นั้น โดยไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องไปไหนไกลเลย อาศัยจังหวะตกใจกับสิ่งต่าง ๆ เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับคนดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดูมาครึ่งค่อนเรื่องจึงค่อยรู้สึกกับตัวว่า ไม่ได้ปูเนื้อเรื่องอะไรมาเลยนี่หว่า

แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนว่าปมประเด็น สาเหตุที่เกิด กลับไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อและมองเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมดเลย มีเพียงบทสรุปสาเหตุของผียายแก่ที่ออกมาหลอกหลอนเท่านั้น เพราะหลังจากเล่นตุ้งแช่กับคนดู ทั้งในแบบที่เกิดจากผียายแก่ตัวจริง กับช็อตที่ตั้งใจให้ตกใจมากว่าค่อนเรื่อง ตัวละครหลักอย่างแอมพาโร และแม่ของเธอจึงได้เริ่ม “ทำอะไรสักอย่าง” เพื่อหาสาเหตุของวิญญาณหลอนที่สิงอยู่ในบ้าน และกำจัดผียายแก่ออกไปให้พ้น ๆ บ้านซักที ทางแม่ก็เริ่มเบนไปทางไสยศาสตร์จากความช่วยเหลือของลูกค้า ส่วนตัวแอมพาโรก็เริ่มสืบค้นจากข้อมูลของเจ้าของบ้านคนเก่าด้วยหลักฐานที่พอจะมีอยู่

แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนว่าปมประเด็น สาเหตุที่เกิด และเรื่องราวบทสรุป กลับไม่ได้ทำงานให้เกิดความรู้สึกเชื่อและมองเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมดเลย มีเพียงบทสรุปสาเหตุของผียายแก่ว่าเป็นตายร้ายดีมายังไงบ้างก็เท่านั้นเอง ซึ่งพอมาถึงบทสรุป ตัวหนังก็รีบสรุปแบบ “มาเร็วเคลมเร็ว” มาก ๆ ยังไม่ทันจะปะติดปะต่ออะไร ตัวหนังก็ทิ้งทุกอย่างแล้วไปหาบทสรุปในแบบที่ผมเองดูแล้วก็ยังต้องอุทานว่า “อีหยังวะ…” หลังดูจบเลยแหละ เป็นบทสรุปที่แม้ว่าตัวหนังจะสรุปมาให้แล้ว แต่ก็เป็นสิ่งที่ดูจะไม่คมพอที่จะทำให้คนดูปะติดปะต่อและคล้อยตามเนื้อเรื่องอะไรได้เท่าไหร่จริง ๆ

แต่ก็ต้องแอบชมตัวหนังด้วยนะครับ เพราะแม้ว่าตัวหนังจะเล่นมุกตุ้งแช่เลี้ยงคนดู เหมือนกลัวว่าคนดูอาจจะไม่ได้มีโอกาสตกใจอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ และบทสรุปที่ให้มาก็ชวนให้สงสัยและอีหยังวะเหลือเกิน แต่ตัวบทหนังก็ยังแอบสอดแทรกประเด็นเรื่องของการเมือง ประเด็นเรื่องของชนชั้น เศรษฐกิจในแบบทุนนิยม รวมถึงเรื่องของเพศวิถีที่ในยุค 70’s ที่ในตอนนั้นยังเป็นอะไรที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมมากนัก คนที่มีเพศวิถีผิดแผกแตกต่างจากคนทั่ว ๆ ไปก็ยังต้องแอบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้สังคมและคนรอบข้างรู้ รังเกียจ และต่อต้านในเพศวิถีที่ตัวเองเลือก

แต่ก็นั่นแหละครับ มันเป็นเพียงการสอดแทรกมาแบบกรุบกริบ ไม่ได้ให้น้ำหนักกับอะไรหรือปมไหนเป็นพิเศษ แถมยังน่าเสียดายที่ตัวหนังก็ไม่ได้เอาเรื่องเหตุการณ์จริง หรือต้นตอที่เกิดจากเหตุการณ์จริงมาขยี้กับปมประเด็นต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากพอที่จะทำให้คนดูดูแล้วเข้าใจ หรืออย่างน้อยถ้าจะหยิบยืมกลิ่นอายมา ก็น่าจะเขียนบทสรุปของตัวละครต่าง ๆ ทั้งฝั่งของผียายแก่เล็บยาว กับสาเหตุที่ทำให้แค้นจนต้องออกมาหลอกคน รวมถึงปมปัญหาของคนในครอบครัวเองให้ชัดเจน มีน้ำหนัก และเล่ามันออกมาอย่างกระจ่าง เชื่อมโยง และพร้อมที่จะทำให้คนดูเชื่อและคล้อยตามในเหตุผลและปมปัญหาทุกอย่างที่หนังสร้างขึ้นและสรุปออกมาให้ได้มากกว่านี้

ซึ่งพอตัวหนังเล่นผีตุ้งแช่ ทั้งจริงทั้งหลอก เอาเถิดเจ้าล่อกันมาครึ่งค่อนเรื่อง แล้วก็อัดบทสรุปให้มาแบบมาเร็วเคลมเร็ว แต่มาแบบแกน ๆ แล้วก็จบกันแบบอีหยังวะแบบนี้ ทำให้ตัวหนังกลับกลายเป็นเพียงเรื่องของวิบากกรรมของครอบครัวชนบท ชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างที่ตกอับ ต้องมาซื้อบ้านในเมืองหลวง แล้วบ้านนั้นก็มีผีอยู่ ผียายแก่เล็บยาวเจ้าบ้าน (ที่ตอนนี้เสมือนเป็นแค่ผีเจ้าที่) ก็เลยออกมาหลอกหลอน ขโมยลูก แล้วก็ตุ้งแช่ ๆๆ

เพียงเพราะว่าดันมาเช่าบ้านอยู่ผิดที่ผิดทางเท่านั้นเอง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส