[รีวิว] Inside Man: Most Wanted ภาคต่อหนังปล้นธนาคารสุดล้ำปี 2006 ที่ไม่รู้จะมีภาคต่อทำไม

ช่องทางรับชม

HBO Go

ความยาว

101 นาที

[รีวิว] Inside Man: Most Wanted ภาคต่อหนังปล้นธนาคารสุดล้ำปี 2006 ที่ไม่รู้จะมีภาคต่อทำไม
Our score
5.7

Inside Man: Most Wanted

จุดเด่น

  1. มีความเชื่อมโยงกับหนัง Inside Man ภาคแรกใครชอบเรื่องนั้นก็น่าจะอยากรู้ความเป็นไปหลังจากนั้นด้วย

จุดสังเกต

  1. ไม่มีอะไรเทียบเคียงหนังภาคแรกได้เลย ครั้นจะมองเป็นหนังปล้นธนาคารเรื่องหนึ่งก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีไอเดียใหม่ให้ประหลาดใจแล้ว
  • บท

    6.0

  • โพรดักชัน

    5.5

  • นักแสดง

    5.5

  • ความสนุก

    5.5

  • ความคุ้มค่าในการรับชม

    6.0

หนึ่งในหนังปล้นธนาคารที่โจรฉลาดเป็นกรด หลอกล่อทั้งตำรวจและคนดูให้เหวอในความล้ำและชั้นเชิงของบทเรื่องหนึ่ง คงไม่พ้นต้องพูดถึงหนัง Inside Man ของผู้กำกับ สไปก์ ลี เมื่อปี 2006 ซึ่งในตอนนั้นถือว่าสร้างบทได้ใหม่น่าสนใจมาก จนตอนหลังก็มีซีรีส์ที่กลิ่นคล้ายคลึงได้รับมรดกทางความคิดมาสร้างจนโด่งดังตามมาอย่าง Money Heist ทางเน็ตฟลิกซ์

หนังภาคแรกปี 2006

หนังภาคแรกได้รวมดารารุ่นใหญ่รุ่นกลางที่มากฝีมือมาปะทะบทกันเข้มข้น ตั้งแต่ฝั่งโจรอย่าง ไคลฟ์ โอเวน ในบท เดวิด รัสเซล หัวหน้าโจรที่ปั่นหัวตำรวจอยู่หมัด ทั้งยังทำให้การเฉลยวิธีการปล้นแล้วเดินออกจากธนาคารสบาย ๆ ขยายความชื่อหนังที่ว่า Inside Man ได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะที่ฝั่งตำรวจก็มีมาทั้ง เดนเซล วอชิงตัน รับบทนายตำรวจสีเทาที่ดูแลการเจรจานาม คีธ และเสริมทัพด้วย วิลเลม เดโฟ กับ ชเวเทล ออจิโอฟอร์ ด้วย นอกจากฝั่งโจรกับตำรวจหนังยังเพิ่มความซับซ้อนด้วยฝั่งเศรษฐีผู้มีความลับซ่อนไว้ในตู้เซฟธนาคารกลางด้วย โดยได้ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ มารับบท อาร์เธอร์ เคส เศรษฐีคนที่ว่า สมทบด้วย โจดี้ ฟอสเตอร์ ในบทตัวแทนของเคส

ที่ต้องย้อนชื่อตัวละครและเน้นบางตัวก็เพราะ Inside Man: Most Wanted ถือเป็นภาคต่ออย่างเป็นทางการของหนังปี 2006 โดยมีการอ้างถึงคดีในหนังภาคแรกด้วย ทั้งตัวละครบางตัวก็กลับมาพัวพันในเรื่องราวใหม่ได้อย่างน่าสนใจ ทว่าด้วยการลดขนาดโพรดักชันลงเป็นเพียงหนัง VOD ที่ฉายออนไลน์ สิ่งที่เปลี่ยนอย่างหน้ามือเป็นหลังเท้าก็คือเหล่านักแสดงที่เอาสายทีวีซีรีส์มาแทนดาราแม่เหล็กเสียมาก อย่าง อัมล์ อามีน จากซีรีส์ Sense8 รีอาห์ ซีฮอร์น จากซีรีส์ Better Call Saul และ โรซานเน่ แมกกี จาก Game of Thrones มาเป็นตัวนำ ที่ว่าเอาจริง ๆ เทียบกับภาคแรกนับการแสดงอย่างเดียวก็ถือว่าพลังลดลงไปตามค่าตัวนักแสดงเลยจริง ๆ ความลุ่มลึกน่าเกรงขามของฝั่งโจรในแบบ ไคลฟ์ โอเวน ก็หายไป ส่วนฝั่งตำรวจที่เจรจาก็ไม่ได้เสี้ยวความรู้สึกทันเกมกดดันใส่แบบ เดนเซล วอชิงตัน เลยสักนิด

นอกจากนี้ทีมผู้สร้างก็ยกใหม่หมด ทั้งผู้กำกับที่ได้ผู้กำกับสาวอย่าง เอ็ม.เจ. บาสเซ็ตต์ ที่เคยมีผลงานอย่าง Silent Hill: Revelation 3D (2012) และไปแจมกำกับในซีรีส์อย่าง Ash vs Evil Dead และ Altered Carbon มาบ้างนิดหน่อย ผลงานเรียกว่าไม่ได้ประทับใจอะไรมากนัก มาเรื่องนี้ก็เห็นความต่างชั้นกับ สไปก์ ลีอย่างชัดเจนในแง่การเล่าเรื่อง และการคุมบรรยากาศเรื่องที่ออกจะเบาหวิว ไม่กดดันคนดูหรือท้าทายสมองคนดูเท่าที่ควร

ภาระทั้งหลายที่ผู้ชมยังพอจะอยากดูเรื่องนี้จึงยกไปให้คนเขียนบทอย่าง ไบรอัน ไบรธ์ลี ที่ไม่มีผลงานคุ้นหูเลยสักเรื่อง และก็ตามคาดบทจัดว่าโกงคนดูพอสมควรในการเฉลยเรื่องราวทั้งหลาย และก็พยายามฉลาดแบบไม่สุดเท่าไหร่ ทั้งไม่สามารถดึงคนดูให้ลุ้นไปกับตัวละครฝั่งไหนสักทางแล้ว ยังไม่ชวนรู้สึกถึงพลังทางปริศนาและการเชือดเฉือนระหว่างผู้หาความจริงกับผู้วางหมากได้อย่างที่หนังภาคแรกผลงานการเขียนบทของ รัสเซล เกอเวิร์ตส์ เคยทำไว้เลยสักนิด เรียกว่าขาดกึ๋นกับลูกเก๋าไปเลย ยิ่งไม่ต้องไปเทียบว่าลูกนอกไส้อย่างหนังหรือซีรีส์หลังจาก Inside Man ภาคแรกเขาต่อยอดไอเดียไปอีกระดับขนาดไหนแล้วด้วยนะ

ถามว่าหนังยังมีอะไรน่าสนใจ ก็ต้องยอมรับว่ายังน่าสนใจด้วยบารมีจากหนังภาคแรกนั้นแล การผูกเรื่องให้เกี่ยวโยงกันบางจุดทำให้เราในฐานะคนที่ชื่นชอบภาคแรกมาก ๆ อยากจะรู้อยากจะดูไปจนจบว่า หนังจะขยี้ขยายไปได้อย่างไร และตัวละครบางตัวจากภาคแรกจะมีบทบาทอย่างไรในภาคต่อนี้ สรุป เอาเป็นว่าใครเป็นแฟนภาคแรกก็ดูเถอะให้หายคาใจ แต่ก็ทำใจไว้หน่อย ส่วนคอหนังดราม่าอาชญากรรมเฉือนคมทั่วไปก็พอดูได้แต่คงไม่ได้ว้าวอะไรมากนักแล้วล่ะ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส