[รีวิว]The Hunt : โหดได้สมยี่ห้อ BlumHouse
Our score
6.8

Release Date

12/08/2020

Rate : R

Action, Horror, Thriller

Director: Craig Zobel

Writers: Nick Cuse, Damon Lindelof

Stars: Betty Gilpin, Hilary Swank, Ike Barinholtz

Run Time : 1h 30min

[รีวิว]The Hunt : โหดได้สมยี่ห้อ BlumHouse
Our score
6.8

[รีวิว]The Hunt : โหดได้สมยี่ห้อ BlumHouse

จุดเด่น

  1. เล่นกับการคาดเดาคนดูได้ดี ต้องเดาว่าคนไหนเป็นชาวบ้านจริง คนไหนเป็นผู้ล่า
  2. เอาใจคอหนังสายโหดได้อย่างน่าพอใจ แต่ละรายตายกันแบบโหดเลือดสาด
  3. หนังเข้าฉายช้าไปมาก หลังจากที่ยูนิเวอร์แซล ปล่อยให้เช่าดูมาตั้งแต่มีนาคม

จุดสังเกต

  1. ครึ่งหลังแผ่วไปหน่อย
  2. ฉากไคลแมกซ์เปลี่ยนจากหนังไล่ล่า กลายเป็นหนังฮีโรสาวไปซะงั้น
  • ตรรกะ ความสมบูรณ์ของบท

    7.0

  • คุณภาพนักแสดง

    6.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    7.0

  • ความบันเทิงตามแนวหนัง

    8.0

  • คุ้มเวลา ค่าตั๋ว

    6.0

สนับสนุนข้อมูลโดย Major Cineplex

นับว่าเป็นหนังที่น่าสงสารมากซวยซ้ำซวยซ้อน ยูนิเวอร์แซลวางกำหนดฉายแรกไว้ตั้งแต่ 27 กันยายน 2019 ก็พอดีช่วงนั้นชาวอเมริกันยังรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุกราดยิงที่ เดย์ตัน และ เอลปาโซ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2019 ยูนิเวอร์แซลก็เลยเลื่อนไปฉาย 13 มีนาคม 2020 ก็พอดีเป๊ะกับช่วงที่ โควิด-19 แพร่ระบาดพอดี แม้ว่าตัวอย่างหนังที่โหดเลือดสาดจะเรียกความสนใจคนดูได้จำนวนมาก แต่ผู้คนก็ยังหวาดเกรงกับไวรัสเลยไม่ออกมาซื้อตั๋วดูหนังกัน ผลก็คือหนังทำรายได้ไปแค่ 9 ล้านเหรียญเท่านั้น จากทุนสร้าง 14 ล้านเหรียญ ยูนิเวอร์แซลก็เลยตัดสินใจปล่อยให้เช่าดูออนไลน์ภายในสัปดาห์ถัดมาหลังจากหนังเข้าฉายโรงกันไปเลย

ฮิลารี สแวงค์ มารับบท อาเธนา บอสใหญ่ของเรื่อง

พลอตหนังที่ว่าด้วย คนล่าคนในป่าเพื่อความสนุกนั้นก็ไม่ใช่พลอตแปลกใหม่ ฮอลลีวูดสร้างหนังแนวนี้ออกมาอยู่บ่อย ๆ ย้อนไปเรื่องแรก ๆ ก็ The Most Dangerous Game (1932) ส่วนที่ฮิตกันไปทั่วโลกก็อย่าง The Hunger Games นั่นแหละ แต่เมื่อ The Hunt เป็นหนังที่สร้างโดยค่าย BlumHouse ค่ายหนังสยองขวัญ ฉะนั้นก็ต้องเน้นฉากโหดเลือดสาดเพื่อตอบสนองคอหนังแนวนี้โดยเฉพาะ แล้วก็ต้องบอกว่า The Hunt ตอบสนองคอหนังโหดได้อย่างน่าพอใจ เพราะหนังเต็มไปด้วยฉากโหด มีฉากฆ่ากันตายให้เห็นกันแบบถี่ ๆ แล้วตายแบบสยดสยอง อี๋ แหยะ สุด ๆ

เหยื่อแต่ละรายตื่นขึ้นมากลางป่า ในสภาพโดนมัดปากแบบนี้

หนังถูกสร้างมาตามนโยบายของ Blumhouse คือเน้นทุนสร้างต่ำ นักแสดงส่วนใหญ่จึงโนเนม แต่ใน The Hunt เราก็ยังได้เห็นดาราขายชื่อได้อย่าง ฮิลลารี แสวงค์ มาเป็นชื่อขาย พ่วงมาด้วย เอ็มมา โรเบิร์ต แต่ที่น่าตลกก็คือ ฮิลารี สแวงค์ มารับบทเป็น อาเธนา บอสใหญ่ของบริษัทผู้จัดเกมคนล่าคน เกมที่ให้มหาเศรษฐีต้องจ่ายเงินก้อนโตเพื่อมาเล่นเกมล่าชีวิตคนจริง ๆ กลุ่มใหญ่ แต่หนังเปิดตัวอาเธนา ในแบบลึกลับถ่ายให้เห็นแค่ครึ่งล่างของเธอ กว่าจะไปเผยตัวก็ในช่วงท้ายของหนัง ซึ่งหนังก็โฆษณาชื่อเธอแบบโจ่งแจ้งอยู่แล้ว พอมาทำปิดบังในหนังมันก็เลยดูเป็นการทำงานสวนทางกันจังระหว่างทีมประชาสัมพันธ์ กับทีมผู้สร้างหนัง จะมาปิดบังหน้าตาไปทำมั้ย ทั้งที่มันไม่ได้สร้างความเซอร์ไพรส์เอาเสียเลย

ฉากร้านของชำ ฉากสุดระทึกของหนัง

หนังใช้เวลาปูความไม่นาน ฉากไล่ล่าก็เริ่มตั้งแต่ต้นเรื่องเลย เป็นการเปิดเรื่องได้น่าสนใจ เพราะเล่นกับการคาดเดาของคนดูที่คุ้นเคยกันดีกับหนังแนวนี้ ว่าไม่นานบทหนังจะต้องเผยตัวเอกของหนังที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเหยื่อนี่ล่ะ ที่จะต้องเก่งกาจเหนือคนอื่นแล้วออกมาเอาคืนกับบรรดาเศรษฐีโรคจิตเหล่านี้ ตรงนี้ล่ะที่ล่อหลอกกับการคาดเดาคนดูได้ดี ว่าน่าจะเป็นคนนี้มั้ง คนนั้นมั้ง ซึ่งกว่าจะเผยตัวเอกจริง ๆ ก็ผ่านไปนานพอดู กับการที่หนังเลือกใช้นักแสดงที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาก็เลยทำให้การคาดเดานี้เป็นไปด้วยความสนุก เพราะไม่มีนักแสดงที่คุ้นหน้าในกลุ่มเหยื่อ เราก็เลยเดาจากชื่อเสียงของดาราไม่ได้

ฉากโหดเปิดเรื่อง ที่เปิดโอกาสให้เหยื่อแต่ละคนได้มีอาวุธไว้ต่อสู้

ถ้าใครที่เคยดูหนังในแนวคนล่าคนมาบ้างแล้ว ก็ต้องบอกว่า The Hunt เลือกเล่าเรื่องในทิศทางที่ต่างจากเดิม แม้ว่าหนังจะเปิดเรื่องในป่า เหยื่ออยู่ในที่โล่ง ส่วนผู้ล่าอยู่ในที่ลับ คอยซุ่มยิงบรรดาเหยื่ออย่างสนุกสนาน แต่ผ่านไปครู่เดียว บรรดาเหยื่อก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปคนละทิศคนละทาง ทำให้หนังพ้นขีดจำกัดในเรื่องสถานการณ์ปิดล้อม แต่กลายเป็นเกมไล่ล่าในพื้นที่เปิดกว้างไม่มีขอบเขตจำกัด ก็เลยทำให้บทหนังในทิศทางนี้ได้อย่างเสียอย่าง ส่วนที่เสียไปก็คือความตึงเครียดกดดันกับการได้เห็นชะตากรรมของเหยื่อที่ต้องรอคอยความตายในพื้นที่จำกัด แต่สิ่งที่ได้มาก็คือความคลุมเครือ เมื่อเหยื่อสามารถหนีไปไหนก็ได้ แต่ไม่รู้ตัวเองว่าอยู่ในพื้นที่ส่วนไหนของโลก แล้วผู้คนที่พวกเขาเจอะเจอระหว่างทางเพื่อขอความช่วยเหลือนั้น เป็นชาวบ้านจริง ๆ หรือว่าเป็นพรานผู้ล่าที่เล่นละครตีเนียนแล้วหาจังหวะสังหารเหยื่อที่หลงกล บางทีผู้ล่าก็ปลอมตัวมาปะปนอยู่ในเหยื่อด้วยก็มี ตรงนี้เราก็เลยได้ความสนุกกับการดูไปเดาไป ว่าไอ้คนนี้คนนั้นจะเป็นชาวบ้านจริงหรือเป็นพรานกันแน่ มีฉากแบบนี้โผล่มาบ่อย ๆ เดากันถูกบ้างผิดบ้าง บางฉากก็ไม่เฉลยนะว่าตกลงไอ้คนนี้มันเป็นเหยื่อหรือว่าผู้ล่าปลอมตัวมากันแน่ เน้นย้ำเลยว่าฉากร้านมินิมาร์ตเล่นกับการคาดเดาคนดูได้สนุกมาก ก็ต้องย้อนไปชื่นชม เดมอน ลินเดลอฟ มือเขียนบทขาเก๋าของวงการ ที่สร้างชื่อมาจาก Lost ซีรีส์ลึกลับระดับตำนาน ก็นับว่าฝีมือของ เดมอน ยังเชื่อถือได้ ยังสอดแทรกความลึกลับมาในบทหนัง เล่นกับการคาดเดาของคนดูได้ดี

เบ็ตตี้ กิลพิน ในบท คริสตัล หนึ่งในเหยื่อของเกมล่าสังหาร

หนังมาแผ่วลงอย่างรู้สึกได้ในครึ่งหลัง เมื่อจำนวนเหยื่อลดน้อยลง แล้วเหยื่อเริ่มเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นผู้ล่าบ้าง คุยกันเยอะขึ้น ฉากแอ็กชันน้อยลง แต่ก็ยังมีฉากใหญ่ให้ได้เห็นกันอยู่บ้าง แต่กับฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง ก็ยังไม่น่าประทับใจนัก เหมือนกับว่าบทหนังมีโจทย์บังคับว่าต้องให้ อาเธนา บอสใหญ่ออกโรงมาปิดท้ายเรื่องให้ได้ มันก็เลยให้ความรู้สึกเหมือนดูหนัง แอ็กชันของนักสู้สาวแนว ๆ Atomic Blonde, Colombiana หรือ Everly แนว ๆ นั้น ซึ่งก็รู้ ๆ อยู่แล้วล่ะว่าใครจะชนะ แต่ก็ดูไปว่าจะใช้ท่าเผด็จศึกสุดท้ายอย่างไร

สรุปว่า The Hunt โหดได้สมกับเป็นหนังยี่ห้อ BlumHouse เล่นสนุกกับการคาดเดาได้ดี เรื่องราวระหว่างทางสนุกกว่าฉากไคลแมกซ์ปราบบอส และแนะนำว่าอย่าพยายามไปใฝ่รู้ว่าใครคือตัวเอกของหนัง ก็จะสนุกไปกับการคาดเดาว่าเหยื่อคนไหนหนอ ที่จะเป็นตัวเอกของเรื่อง

https://www.youtube.com/watch?v=W6e_9hYNXJI