Release Date
20/08/2020
แนว
สยองขวัญ
ความยาว
105 นาที
เรตผู้ชม
TBC
ผู้กำกับ
ยุนอึนคยอง
Our score
7.0Lingering โรงแรมผีจอง(เวร)
จุดเด่น
- แม้จะเป็นหนังสยองขวัญ แต่ก็แอบแทรกประเด็นความสัมพันธ์ที่แหว่งวิ่นระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดี
- Jump Scare มีบ้าง แต่ไม่เยอะมาก ไม่น่าเกลียด
- พล็อตมีส่วนผสมของหนังสยองขวัญ-สืบสวนสอบสวน-ทริลเลอร์-ดราม่า
จุดสังเกต
- ฉากผีมีทั้งแบบแอบ ๆ ถือว่าหลอนใช้ได้เลย แต่ผีที่มาแบบโต้ง ๆ ยังดูก๊องแก๊งเหมือนละครไทยไปหน่อย
- แอบมีกลินอายและอิทธิพลมาจาก The Shining อยู่เหมือนกัน
- ตัวละครและพล็อตดูชัดเจนไปหน่อย เลยทำให้เดาง่าย
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
5.8
-
คุณภาพของบท / เนื้อเรื่อง
7.4
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
8.0
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.0
เรื่องย่อ เรื่องราวของ “ยูมิ” (อีเซยอง) ซึ่งเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสาวของแม่ และนำน้องสาวไปส่งที่โรงแรมลึกลับแห่งหนึ่ง แต่ทริปธรรมดากลับกลายเป็นฝันร้ายสุดสยอง เมื่อโรงแรมดังกล่าวซ่อนปริศนาสุดสะพรึงเกินกว่าที่เธอจะทันตั้งตัว…
แน่นอนว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับชื่อ “โรงแรมผี” เป็นอย่างดี เพราะในโลกภาพยนตร์ คำว่า “โรงแรม” กับ “ผี” ถือว่าเป็น Combination คลาสสิกที่มีมาอย่างยาวนาน ชนิดที่ว่าน่าจะแยก category ย่อยออกมาได้แล้วมั้ง 555 และภาพยนตร์ “โรงแรมผีจอง(เวร)” ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่เอา Combination นี้มาเล่าใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์โรงแรมผีเรื่องนี้น่าสนใจก็คือ นี่คือโรงแรมผีเวอร์ชันเกาหลี (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นหนังผีเกาหลีที่ไม่ค่อยมีมาบ่อย ๆ) กับพล็อตที่ผมว่าน่าสนใจดี บวกกับด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องแบบหนังเกาหลี ถ้าว่ากันด้วยหน้าหนัง ก็ต้องบอกว่ามันก็มีความน่าสนใจดีทีเดียวเลยแหละ
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องของ ยูมิ หญิงสาวโดดเดี่ยวที่ต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพแบบปากกัดตีนถีบ ที่สำคัญคือเธอพบว่าตัวเธอเองมีน้องสาวร่วมแม่แต่ละคนละพ่ออยู่ด้วย ด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง เธอจึงต้องไปรับเด็กหญิงมาจากสถานรับเลี้ยงเด็ก แต่ด้วยความที่เธอเองก็มีชีวิตที่ค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว แถมตัวเด็กก็มีปมเรื่องที่มักจะชอบจินตนาการและพูดอะไรลอย ๆ จนผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กคนนี้พูดโกหกอีก การเลี้ยงน้องสาวอีกคนไปด้วยก็อาจจะลำบาก เธอเลยนึกขึ้นได้ว่า แม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว มีเพื่อนที่รู้จักกันซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมหรูที่อยู่ติดทะเลสาบ เธอเลยตั้งใจว่าอยากจะฝากน้องสาวไว้กับคุณน้าที่เป็นเพื่อนแม่คนนี้
พร้อม ๆ กับที่เธอเองก็ต้องเดินทางมาอยู่ที่โรงแรมนี้ ในระหว่างที่โรงแรมปิดพักช่วงโลว์ซีซันอยู่พอดี แต่แล้วจู่ ๆ เธอก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่น้องสาวของเธอหายตัวไปอย่างลึกลับ อดีตในวัยเด็กที่เธอเคยประสบ ปมปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ และ “อะไรบางอย่าง” ที่มาพบกับเธอในรูปแบบของวิญญาณจองเวร
แน่นอนว่า พอตัวหนังพูดถึงโรงแรมผี หลายคนก็อาจรู้สึกว่าพล็อตโรงแรมผีนั้นแทบจะไม่มีอะไรใหม่แล้ว ซึ่งภาพโดยรวมของหนังเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ โอเค แม้ว่าสิ่งที่ต้องชื่นชมเป็นอย่างแรกเลยก็คือ หนังเรื่องนี้โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นหนังผีสไตล์เกาหลีที่มีความเป็นเกาหลีมาก ๆ เรื่องหนึ่งเลยครับ แถมยังมีการพูดถึงการหายตัวอย่างลึกลับของชาวเกาหลีเหนือที่อพยพเข้ามายังเกาหลีใต้อีกด้วยแน่ะ แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่า หลายคนที่ดูหนังอาจรู้สึกไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่ามันไม่ได้มีอะไรใหม่มาตั้งแต่แรก ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นั่นแหละ
ท่านผู้อ่านอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกคือ ตัวหนัง พล็อต และช็อตต่าง ๆ ทำให้ผมอดคิดถึงหนังโรงแรมผีสุดคลาสสิกอย่าง The Shining (1980) ไม่ได้จริง ๆ ครับ การมีห้องลึกลับที่มีวิญญาณสิงสถิต การที่มีอะไรบางอย่างมาเชิญชวนให้เด็กแอบวิ่งซนเข้าไปในห้อง รวมถึงการพาเข้าไปสำรวจยังซอกเล็กซอกน้อยในโรงแรม ถือได้ว่าเป็นการหยิบเอาอิทธิพลและกลิ่นอายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพล็อตมาผสมกับความเป็นเกาหลีใต้ ซึ่งก็ถือว่าทำได้อย่างไม่ถึงกับลอก แต่ก็พอได้กลิ่นอะไรบางอย่างออกมา
สิ่งที่ทำให้ตัวหนังเรื่องนี้ (ที่ก็รู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าจะมีอะไร) ก็คือ การที่พล็อตไม่ได้พยายามจะขายความน่ากลัวของผี หรือเดินหน้าเสนอความสยองขวัญแบบโหดเหี้ยมเหมือนอย่างหนังผีสเปน หรือเป็นหนังผีตุ้งแช่ ๆ อะไรแบบนั้นครับ หนังเรื่องนี้น่าสนใจตรงที่มีส่วนผสมของหนังสยองขวัญ-สืบสวนสอบสวน-ทริลเลอร์-ดราม่า ในการที่นางเอกอย่าง ยูมิ ต้องกลับไปอยู่ในโรงแรมที่เธอเองก็เคยมาอยู่แล้วเมื่อเธอเป็นเด็ก ซึ่งเธอเองก็ต้องพยายามที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีต
ตั้งแต่เรื่องราวความทรงจำในวัยเด็กที่เธอซุกซ่อนไว้ ปมปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่ที่เต็มไปด้วยความแหว่งวิ่น สาเหตุที่แม่ของเธอต้องตายลง ที่มาของน้องสาวของเธอ รวมทั้งเรื่องราวลึกลับภายในโรงแรม ปริศนาที่เธอได้ค้นพบเมื่อมาอยู่ในโรงแรม รวมถึงวิญญาณอาฆาตที่ดูเหมือนว่าพยายามจะมุ่งตรงมาที่ยูมิเป็นพิเศษอีกด้วย รวมทั้งพาร์ตดราม่า ที่พอพะยี่ห้อว่าเป็นหนังเกาหลีแล้ว แทบไม่ต้องห่วงเลยครับว่า ดราม่าเกาหลีนี่มันดราม่าเกาหลีจริง ๆ
แม้ว่าตัวหนังจะพยายามโปรโมตความเป็นหนังสยองขวัญเต็มขั้น แต่สิ่งที่หนังทำได้มากกว่านั้นก็คือเรื่องของการเล่าประเด็นที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือเรื่องประเด็นความสัมพันธ์ที่แหว่งวิ่นระหว่างแม่กับลูกนี่แหละครับ ในหนัง ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีระหว่างยูมิและแม่ของเธอ ปมความขัดแย้งต่าง ๆ นานา จนถึงเรื่องของปมที่ทำให้แม่ของเธอต้องฆ่าตัวตาย และไหนจะน้องสาวตัวน้อยของยูมิที่เกิดมาจากคนละพ่อ ที่เป็นเหมือนกึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด แต่ก็เป็นเหมือนกับภาระไปด้วยพร้อม ๆ กัน จนกระทั่งเธอต้องตัดสินใจเอามาฝากไว้กับน้าสาวผู้เป็นเพื่อนกับแม่ของเธอมาก่อน ท่ามกลางกลิ่นอายความไม่น่าไว้วางใจที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ทำให้ยูมิต้องออกตามสืบค้นเรื่องราวและปะติดปะต่อเรื่องราวในอดีตหลายปม ซึ่งพาร์ตของการสืบสวนสอบสวน และดราม่าเรื่องแม่ ๆ ลูก ๆ นั้นทำได้ในระดับที่ใช้ได้เลย
แต่แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมของหนังจะมีความน่ากลัว และสยองขวัญในระดับที่ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว แต่หนังเรื่องนี้ก็มีข้อสังเกต 2 เรื่องใหญ่ ๆ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังไปได้ไม่สุดของความสยองขวัญ นั่นก็คือ หนึ่ง ถ้าไม่นับตัวละครหลักอย่าง ยูมิ ที่รับบทโดย อีเซยอง ที่รับหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่อง และน้องพักโซยี ที่เล่นเป็นน้องสาวของยูมิ ตัวละครอื่น ๆ กลับดูง่ายและชัดเจนไปหมดเลย บทบาทที่ดูชัดซะจนแทบไม่มีเหลี่ยมมุม ทำให้สามารถเดาทางพล็อตของหนังได้ง่ายไปโดยปริยาย
และจุดสังเกตที่สองคือ ฉากสยองขวัญ อย่างที่ผมกล่าวถึงแล้วว่า บรรยากาศของหนังเรื่องนี้นั้นถือว่าสยองขวัญใช้ได้ การเล่นกับซอกหลืบเร้นลับต่าง ๆ ในโรงแรม การเล่นกับความสว่างและความมืด การปรับโทนสีให้แตกต่างกันมาก ๆ ระหว่างซีนสยองขวัญและไม่สยองขวัญเพื่อให้เห็นความแตกต่าง ความพยายามของตัวหนังเองที่ไม่ได้ใส่ Jump Scare จนเกินงาม และพยายามคุมโทนโดยไม่ยัดเยียดความเป็น “หนังผีที่หันไปทางไหนก็มีแต่ผี” นั้นทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่ก็ยังมีกลิ่นอายความเป็นหนังสยองขวัญอยู่ แต่กลายเป็นว่า ฉากการปรากฏของผีที่ทำให้รู้สึกสยอง กลับมีแต่เฉพาะฉากที่ผีมาแบบลึกลับ ๆ หรือมาแบบแอบ ๆ เห็นแต่เพียงเลือนรางเท่านั้น แต่ผีที่มากันแบบโต้ง ๆ แบบโผล่หน้ามาให้เห็น ผมกลับรู้สึกว่ามันยังก๊องแก๊งเหมือนผีในละครไทยไปหน่อย
โดยรวมแล้ว ความสนุกลุ้นระทึกของหนังสยองขวัญเรื่องนี้ อาจไม่ได้น่ากลัวที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือด้วยบรรยากาศความหลอนโดยรวมก็หลอนดีอยู่นะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ตัวหนังเองก็ไม่ได้ถึงกับว่าน่ากลัวสุด ๆ หลายจุดก็แอบหลุด ๆ ก๊องแก๊งไปบ้าง แต่ในฝั่งของเนื้อเรื่องและธีมหลักนั้น ทำได้ดีพอสมควร แม้ว่าจะเดาง่ายไปหน่อยในเชิงการดำเนินและสรุปเรื่อง แต่ด้วยตัวละครและบรรยากาศก็ยังชวนให้มีอะไรที่น่าลุ้นและติดตามได้บ้างในแง่ของการสืบสวนสอบสวน พาร์ตดราม่า รวมถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกที่ดูแล้วอาจซาบซึ้งจนอาจน้ำตาซึม เรียกว่าเป็นความบันเทิงสไตล์เกาหลีที่ดูสนุกได้ในระดับที่ไม่น่าเกลียด และไม่เสียดายเงินครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส