จากหนังแอ็กชันทุนสร้างเบา ๆ แค่ 20 ล้านและทีมงานแทบจะโนเนมทั้งสิ้น 2 ผู้กำกับก็มาจาก สตันท์แมน และเพิ่งประเดิมกำกับ John Wick เป็นเรื่องแรก ถ้าไม่มีชื่อ คีอานู รีฟส์ เป็นจุดขาย ก็ดูเหมือนหนังเกรด B นี่เอง แทบจะมองไม่เห็นจุดประสบความสำเร็จ แต่แล้วด้วยฉากแอ็กชันที่รุนแรง โหด ดุ สมกับที่ผู้กำกับมาจากสายสตันท์แมนทำให้สามารถนำเสนอฉากต่อสู้ได้น่าตื่นตาตื่นใจ บวกกับโครงเรื่องที่สร้างโลกของวงการนักฆ่าออกมาได้น่าสนใจ มีองก์กรเบื้องหลัง มีกฏ กติกา มารยาาท มากมาย ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา ทำให้เรื่องราวของ John Wick ดูมีอะไรมากกว่าแค่อดีตนักฆ่าคนหนึ่งที่ออกจากวงการแล้วต้องกลับมาจับปืนแก้แค้นคู่อริแค่นั้น
แต่ทั้งหมดทั้งหลายก็ต้องชื่นชมวิสัยทัศน์ของผู้กำกับที่ไม่พอใจกับบทร่างแรกที่พวกเขาได้อ่าน เพราะมันถูกเขียนออกมาได้ปราศจากความรุนแรงอย่างมาก ผู้กำกับ แชด สตาเฮลสกี ถึงกับเอ่ยปากว่าฉากรุนแรงในหนัง “มันน้อย น้อยมาก ๆ และมันค่อนข้างต่างจากหนังที่เราได้ดูกันไป”
ผู้กำกับแชด ยังเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของบทเวอร์ชันแรก ที่เราฟังแล้วก็ค่อนข้างประหลาดใจกับข้อเท็จจริงนี้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย
มันมีคนตายในหนังแค่ 3 คน แล้ว 2 คนนั้นตายเพราะอุบัติเหตุรถชนด้วยนะ
ตาย 3 คน 2 คนตายเพราะขับรถด้วยความประมาท ฟังดูแล้วมันช่างต่างกับหนังที่แนะนำให้เรารู้จักนักฆ่าในตำนานที่ได้ฉายาว่า “บาบา ยากา” เสียเหลือเกิน เพราะจากไตรภาคที่เราได้ดูกันไปนั้น นี่คือหนังแอ็กชัน เมด อิน ฮอลลีวูด ที่มีตัวเอกเป็นนักฆ่าขาโหดสุด ๆ เรื่องหนึ่ง เอาคร่าว ๆ ที่พอนับได้ก็แล้วกัน
- John Wick 1 เราได้เห็น จอห์น วิก ฆ่าไป 77 คน
- John Wick 2 เราได้เห็น จอห์น วิก ฆ่าไป 128 คน
- John Wick 3 เราได้เห็น จอห์น วิก ฆ่าไป 85 คน
ทำไมถึงมีการเปลี่ยนแปลงบทภาพยนตร์ได้จากหน้ามือเป็นหลังมือเพียงนี้ แชด สตาเฮลสกี อธิบายเหตุผลว่า มาจากความต้องการของเขาที่อยากจะสร้างสรรค์
“หนังแอ็กชันที่ดูมีความเหนือจริง มันจะต้องไม่เหมือนที่เคยได้ดูได้ชมกันมา มันจะต้องมีบางสิ่งที่แตกต่าง”
แชด ก็เลยให้ไอเดียผู้เขียนบทไปว่า เขาอยากได้หนังที่เน้นการนองเลือดเป็นจุดขาย จากนั้นเราก็เลยได้ดูแฟรนไชส์หนังนักฆ่าที่มี คีอานู รีฟส์ รับบทนำ ที่โดดเด่นด้วยท่าทางการต่อสู้
“พอผมได้อ่านบทภาพยนตร์แล้ว ผมก็มีไอเดียอยู่ในใจว่า ผมอยากจะได้เรื่องราวของ เทพปกรณัมกรีก สอดแทรกอยู่ในเรื่องราว ผมก็ยังใคร่ครวญอยู่ว่าจะเล่ายังไงให้มันไม่ออกมาเป็นนิทาน พอหนังออกมาผู้คนก็มาแซวผมเรื่องจำนวนคนตายมากมายในหนัง แต่ผมจริงจังกับท่าทางการต่อสู้ในหนังเสียมากกว่านะ ทั้งตัวผมและทีมงานต่างก็คิดกันว่าจะออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวในฉากต่อสู้กันอย่างไร พยายามสอดแทรกความพลิ้วไหวที่สวยงามแบบบัลเลต์”
ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่า แชด สตาเฮลสกี สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของเขาออกมาได้จริงในหนังทั้ง 3 ภาค สมกับประสบการณ์ที่เขาผ่านมาแล้วทั้งนักแสดงสตันท์, นักออกแบบท่าทางการต่อสู้ ในหนังอย่าง The Matrix, The Hunger Games และ Deadpool 2
“ผมคิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปโดยธรรมชาติ ตัวคีอานูเองก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในฉากต่อสู้ ด้วยศิลปะการป้องกันตัวและการเคลื่อนไหวต่าง ๆ พวกเราคิดกันเยอะเรื่องอาวุธที่จะเอามาใช้ในหนัง ทำให้การออกแบบแต่ละฉากนั้นใหญ่ขึ้น มันก็เป็นไปตามธรรมชาติล่ะนะ พอแต่ละฉากมันใหญ่ขึ้น จำนวนคนตายก็มากตาม แต่เราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้กันตั้งแต่แรกหรอกนะ ว่าฉากนี้ฉากนั้นจะตายกี่คน เราแค่ออกแบบฉากต่อสู้ไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็เป็นไปตามนั้นเอง”
นับมาถึงภาค 3 จอห์น วิก ฆ่าไปแล้ว 284 คน ตอนนี้แฟรนไชส์ขยายต่อไปถึง John Wick 4 ที่จะมาในปี 2022 นี้ เตรียมคอยนับนิ้วกันต่อว่าจำนวนชีวิตที่จะสังเวยให้กับ จอห์น วิก จะไปหยุดที่ตัวเลขเท่าไหร่กัน