Release Date
17/09/2020
ความยาว
105 นาที
Our score
9.5Antebellum
จุดเด่น
- มอบบรรยากาศสยอง เอาตัวรด กระตุกความคิด ได้แบบเฉียบคม ที่สำคัญไม่ได้หนักหัวปรัชญาจ๋า แต่บันเทิงสุด ๆ ด้วย
จุดสังเกต
- หนังปูเรื่องช่วงแรกกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งผู้ชมคงรู้สึกว่าดูอะไรอยู่เนี่ย มาดูผิดเรื่องหรือเปล่า แต่พอหนังเริ่มเฉลยเท่านั้นล่ะ โหอ้าปากค้างได้เลย แม้จะมีการลอกไอเดียหนังดังมาใช้ก็ตาม
-
บท
10.0
-
โพรดักชัน
8.5
-
การแสดง
9.5
-
ความสนุก
9.5
-
ความคุ้มค่า
10.0
เรื่องย่อ: เวโรนิก้า เฮนลีย์ นักเขียนระดับเบสต์เซลเลอร์ ที่ถูกโชคชะตานำพาให้เธอเข้าไปติดอยู่ในโลกความเป็นจริงในอดีตไกลโพ้นสุดน่ากลัว และต้องไขปริศนาหาคำตอบของเรื่องราวสุดหลอนครั้งนี้ไปให้ได้ ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายจนไม่สามารถแก้ไขได้ตลอดกาล
ผลงานที่ชูหน้าด้วยทีมสร้างจาก Get Out และ Us ของผู้กำกับ จอร์แดน พีล ซึ่งเด่นในเรื่องสไตล์ความหลอนแบบดราม่าจิตวิทยาผสมความสยองแบบหนาวสันหลังด้วยเรื่องราวเหนือจินตนาการ ซึ่งมักดึงความกลัวในใจคนออกมาโดยเฉพาะจากกลุ่มของชาวแอฟริกันอเมริกันที่ถูกความเหลื่อมล้ำทางสีผิวในอเมริกาเล่นงานมาเป็นร้อย ๆ ปีจนถึงปัจจุบันกับกระแส Black Lives Matter ซึ่ง Antebellum ก็ใช้ไอเดียการดึงความกลัวในใจคนผิวดำไม่ว่าจะกี่ยุคต่อกี่ยุคมาใช้ได้อย่างเข้มข้นทีเดียว
ทั้งนี้เป็นฝีมือการกำกับและจินตนาการจากคู่หูผู้กำกับมือใหม่นามว่า เจอราร์ด บุช และ คริสโตเฟอร์ เรนซ์ ที่ผ่านงานสารคดี โฆษณาและวิดีโอสั้นมาหลายชิ้นก่อนได้รับความไว้วางใจทำหนังใหญ่เรื่องแรกนี้ แต่ทีมสนับสนุนเองก็แข็งแกร่งพอให้สองผู้กำกับบรรเลงฝีแปรงได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็น เปโดร ลัค ผู้กำกับภาพจากหนัง Don’t Breathe (2016) และ The Girl in the Spider’s Web (2018) มาใช้ประสบการณ์ภาพหลอนยะเยือกที่เปิดมาด้วยลองเทคโชว์ความเก่าได้น่าสนใจทีเดียว และการปล่อยให้ผู้กำกับได้ปล่อยของเต็มที่เพราะไม่ต้องห่วงทีมหนุนก้ทำให้หนังเรื่องนี้มีของเด็ดของดีให้ตรึงใจได้ไม่น้อยเลย
ความสำเร็จของหนังอีกประการต้องยกให้เดอะแบก จาแนลล์ โมเน ดาราสาวที่หน้ามีเสน่ห์ไม่น้อย จากหนังอย่าง Moonlight และ Hidden Figure ที่สะท้อนความกลัว ความกล้า และการซ่อนเร้นความอับจนหนทางไว้ได้อย่างชวนอินในทุกซีน ส่วนนักแสดงประกอบคนอื่นไม่ใช่ว่าไม่ดี เพราะหนุนเรื่องได้น่าสนใจโดยเฉพาะเหล่าตัวร้ายทั้งหลายเล่นได้น่าหมั่นไส้ ตั้งแต่แก่ยันเด็กเลยทีเดียว แต่ภาพรวมอย่างไรก็ตามคงต้องยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังของ โมเน จริง ๆ นั่นล่ะ
สำหรับตัวหนังนำคำที่ว่า “อดีตมันไม่เคยตาย มันไม่ใช่อดีตเสียด้วยซ้ำ” ของเช็กสเปียร์มายั่วล้อได้น่าสนใจ ซึ่งจริง ๆ ก็ค่อนข้างแปลกที่แปลไทยเช่นนี้ แต่สุดท้ายเมื่อดูหนังจบมาทบทวนคำพูดตอนต้นของหนังนี้ก็ทำเอาตบเข่าฉาดเลยเหมือนกัน ว่าไปหนังมีความคล้ายหนังเรื่องหนึ่งซึ่งหากพูดชื่อไปก็จะสปอยล์ตัวหนังนี้ทันที เอาเป็นว่าสองผุ้กำกับเอาไอเดียเรื่องนั้นมาปั่นเรื่องความกลัวของผิวสีได้เฉียบคมมาก บทมีความลักลั่นสั่นประสาทอยู่ตลอด
ข้อติงก็คงมีว่าด้วยโครงสร้างที่ออกแบบไว้ให้มันทำงานสำเร็จ จำเป็นต้องเสียสละเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแรกให้กับการปูพื้นดราม่า จนเราสงสัยว่า เอ่ ที่ดูในตัวอย่างเรื่องเหนือธรรมชาติย้อนอดีตมันมีอยู่จริง ๆ หรือแค่หน้าหนังหลอกเราอีกแล้ว ทว่าสุดท้ายหนังก็ใช้ประโยชน์จากครึ่งชั่วโมงแรกได้ชะงัด เป็นเหมือนการชม One Cut of the Dead ที่ครึ่งหลังเฉลยแล้วอาจไม่ได้ความฮา หากแต่เป็นความสยอง เศร้า อย่างไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์เคยกระทำกับมนุษย์ได้เพียงนี้เลยหรือ ความรุนแรงนั้นถูกยอมรับในอดีตมากกว่าปัจจุบันได้จริงหรือ และลบล้างความโรแมนติกในบทละครอย่าง ทวิภพ ไปแบบสิ้นเชิง ว่าในโลกความจริงมณีจันทร์ย้อนเวลาไปคงกลายเป็นทาส และบทหวานของคุณพระคงกลายเป็นแส้ฟาดและลูกปืนแทน
สรุป หนังโคตรน่าดู ตั้งคำถามเยอะมาก และที่สำคัญไม่ได้ปรัชญาจ๋าแต่มอบความบันเทิงให้ผู้ชมสายดราม่าสยองได้มันสุดพะย่ะค่ะทีเดียวเชียว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส