[รีวิว] The Devil All the Time: กงกรรมเมืองคนบาป หนังที่ดั่งการอ่านวรรณกรรมชั้นเยี่ยม

Release Date

17/09/2020

ความยาว

138 นาที

[รีวิว] The Devil All the Time: กงกรรมเมืองคนบาป หนังที่ดั่งการอ่านวรรณกรรมชั้นเยี่ยม
Our score
10.0

The Devil All the Time

จุดเด่น

  1. บทประพันธ์ชั้นยอดที่สัมผัสความเป็นมนุษย์มาก ๆ ผ่านการแสดงชั้นเยี่ยมจากดาราหลากหลายรุ่น และโพรดักชันถ่ายฟิล์มที่งามงด

จุดสังเกต

  1. ใครไม่ชอบแนวดราม่า เอื่อย ๆ ลึก ๆ ค่อย ๆ ระเบิดอารมณ์ เหมือนการอ่านหนังสือชั้นดีที่ต้องให้เวลา คืออาจจะหลับไปได้ (แต่เอาจริงถ้าเปิดใจดูหน่อย ไม่หลับหรอก หนังเล่าพลิกไปมาสนุกมาก)
  • บท

    10.0

  • โพรดักชัน

    10.0

  • การแสดง

    10.0

  • ความสนุกตามแนวหนัง

    10.0

  • ความคุ้มค่าการรับชม

    10.0

ชื่อของ โดนัลด์ เรย์ พอลลอก อาจไม่ได้เป็นชื่อที่ปักธงหัวหาดนักเขียนนิยายที่คุ้นชื่อนัก อาจเพราะกว่าที่เขาจะเริ่มหันมาจับปากกาเขียนหนังสือนั้นก็ปาไปช่วงปี 2008 ตอนเขามีอายุราว 50 ปีแล้วนั่นล่ะ โดยก่อนหน้านั้นเขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเกิดทำงานโรงงานแรงงานต่าง ๆ ดั่งตัวละครในนิยายของเขาเอง และแม้จะเปิดตัวด้วยหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ Knockemstiff ที่เป็นชื่อเมืองที่เขาเกิดและอาศัยมาทั้งชีวิต และมีนิยายเรื่องแรกในชื่อ The Devil All the Time ตามมาในปี 2011 ซึ่งจนถึงวันนี้เขาก็มีผลงานเพียง 3 เล่มโดยผลงานล่าสุดคือ The Heavenly Table ในปี 2016

แต่เท่านั้นก็ทำให้พอลลอกได้รับรางวัลมากมายนับสิบรางวัลในหลายประเทศ โดยเฉพาะ The Devil All the Time นั้นประสบความสำเร็จเป็น 1 ใน 10 หนังสือแห่งปีของนิตยสาร Publishers Weekly ที่นำเสนอแวดวงสิ่งตีพิมพ์ต่าง ๆ ทั่วโลก และได้คำวิจารณ์ที่ดีว่าเป็น ความเจ็บปวดที่งดงาม ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานกลางกองเถ้าถ่าน จนได้รับการซื้อไปแปลขายกว่า 21 ภาษาทั่วโลก ไม่แปลกที่มันจะไปเข้าตาดาราดังอย่าง เจก จิลเลนฮาล ที่ขอลงมาร่วมเป็นโพรดิวเซอร์ให้กับหนังเอง

เสน่ห์ของเรื่องราวในนิยายของพอลลอกนี้ เป็นการบรรยายที่เห็นภาพของเมืองชนบทในอเมริกา อันเป็นยุคที่พอลลอกโตขึ้นมาจริง ๆ ราวถอดร้อยมาจากความทรงจำของเขาออกมา ความโหดร้ายของชะตากรรมเหล่าตัวละครก็ดูลึกมีมิติแบบที่รู้ว่าคนที่จะเล่าเรื่องแบบนี้ต้องกรำชีวิตอย่างโชกโชนมาจริง ๆ สมแล้วที่พอลลอกรอเวลากลั่นกรองชีวิตหลายสิบปีออกมาเป็นวรรณกรรมเพียงไม่กี่ชิ้นแต่เข้มข้นละมุนทุกหยาดหยดเช่นนี้

โจทย์ในเรื่องของความศรัทธาแบบคริสเตียนที่เคร่งครัด กับความสงสัยในความงมงายที่เปิดโอกาสให้คนชั่วฉกฉวยโอกาส หรือแม้แต่ให้คนดีได้แอบอ้างพระนามในการแสดงด้านมืดของตนเองออกมา ก็ทำให้ชะตากรรมของตัวละครเต็มไปด้วยความสมจริง จริงจัง โหดร้าย ราวกับปีศาจซุกซ่อนอยู่ในทุกหน้ากระดาษหนังสือทีเดียว

การผูกเรื่องราวของตัวละครหลากหลายกลุ่มที่โยงกันไปใยกันมาก็ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านไปยิ่งเข้มข้น คาดเดายาก ยิ่งในฉากสุดท้ายเมื่อกงกรรมนำพามา ก็ชวนลุ้นเอาใจช่วยพวกเขาอย่างยิ่งให้รอดจาก ชะตากรรมบาป เหล่านี้ได้เสียที

และสำหรับผู้กำกับที่จะมาถ่ายทอดงานกวีลูกทุ่งที่รุนแรงและงดงามเรื่องนี้ จึงกลายเป็น แอนโตนิโอ แคมโปส ที่เคยมีผลงานเข้าไปชิงในเมืองคานส์มาหลายครั้งนับตั้งแต่ยังทำหนังสั้นจนกระทั่งเริ่มทำหนังยาว ซึ่งในเรื่อง The Devil All the Time นี้ ก็รู้สึกได้ถึงความตกตะกอนทางการเล่าเรื่องจากตัวผู้กำกับไม่น้อย มีไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้เรารู้สึกถึงเสน่ห์แบบวรรณกรรมคลาสสิกผ่านภาษาหนังได้เช่นนี้

ด้วยทีมที่แข็งแรงแบบนี้ หนังเรื่องนี้เลยดึงดูดนักแสดงสุดยอดฝีมือทั้งเล็กทั้งใหญ่ในยุคนี้มารวมกันเล่นได้มากมาย จนเราทึ่ง ทั้ง โรเบิร์ต แพตทินสัน ในบทสาธุคุณใจบาปที่กอบโกยเอาเปรียบผู้ศรัทธาบ้านนอก ทอม ฮอลแลนด์ กับบทตัวละครเอกของเรื่องที่ถ่ายทอดเด็กที่เผชิญโลกอันโหดร้ายจนมีสายตาแข็งกร้าวต่อพระเจ้า เพราะหมัดนั้นปกป้องคนที่เขารักได้ดีกว่าการประสานมือหน้าไม้กางเขน

บิล สการ์การ์ด กับบทชายผู้ผ่านความโหดร้ายของสงครามโลกจนหันหลังให้พระเจ้า ทว่าสุดท้ายก็ต้องศิโรราบหน้าไม้กางเขนเพื่อขอร้องให้ภรรยาที่รักหายป่วย ฮาร์รี เมลลิง ในบทผู้ถูกทดสอบศรัทธาด้วยชะตากรรมที่น่าเวทนามากที่สุดคนหนึ่งเมื่อเขาใช้วิธีสุดกู่พิสูจน์ตัวตนของพระเจ้า เซบาสเตียน สแตน ก็มาในบทนายอำเภอขี้ฉ้อที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนชนะการเลือกตั้ง และ เจสัน คลาร์ก กับบทฆาตกรต่อเนื่องที่โยงใยตัวละครกลุ่มต่าง ๆ ให้อิรุงตุงนังยิ่งขึ้น

บิล สการ์การ์ด ยังเฉียบคมในการถ่ายทอดความเป็นสามี เป็นพ่อ เป็นอดีตทหารผ่านศึก และผู้หันหลังให้พระเจ้า ได้สมบูรณ์ทุกมิติมาก ๆ การดูการแสดงชั้นยอดของนักแสดงต่าง ๆ ก็อิ่มน่าดูแล้วสำหรับเรื่องนี้

ฝั่งสาว ๆ ก็มี อีลิซา สกานเลน (น้องสุดท้องในหนัง Little Women (2019) ในบทสาวบ้านนอกที่เฝ้ารอการกลับมาของพ่อจนฝากชีวิตไว้กับพระเจ้าเป็นความหวังสุดท้ายได้อย่างน่าสงสาร มีอา วาชิคอฟสกา ก็มารับบทเล็ก ๆ ของสาวบ้านนอกที่ส่งผลต่อเหตุการณ์ของตัวละครอื่นอย่างยิ่งยวดในภายหลัง ฉากสั้น ๆ ที่เธอต้องปล่อยของก็ติดตาเราได้อย่างชะงัดดีนัก

เจสัน คลาร์ก กับ ไรลีย์ คีโอ เข้าคู่เป็นสามีภรรยาฆาตกรต่อเนื่องที่เสริมให้เส้นเรื่องหลักดูหนาวสันหลังได้ทุกครั้ง

และอาจต้องชื่นชมไปถึงเสียงผู้บรรยายเรื่องที่ได้ พอลลอก เจ้าของนิยายมาให้เสียงอิ่มแน่นเห็นน้ำหนักแห่งประสบการณ์ชีวิตอย่างเข้มข้นได้อย่างดี ที่ว่ามาทั้งหมดยังมีนักแสดงประกอบอีกหลายคนที่รับผิดชอบสัดส่วนของตนเองได้ดี คือต้องยอมรับเลยว่า ทีมงานและผู้กำกับทำการบ้านได้ดีมาก ๆ ที่ปั้นตัวละครออกมาเป็นผลลัพธ์สุดท้ายได้เช่นนี้

และสำหรับสายโพรดักชัน หนังเรื่องนี้ถ่ายด้วยฟิล์ม 35 มิลลิเมตร ภาพได้เกรนธรรมชาติที่โคตรสวย ถ้าเป็นไปได้แนะนำว่าหาดูบนจอใหญ่ ๆ ที่รองรับรายละเอียดชัด ๆ ให้คุ้มที่เน็ตฟลิกซ์อุตส่าห์อนุมัติให้ถ่ายฟิล์มในยุคสมัยใหม่นี้ ซึ่งบอกเลยไม่ได้มีบ่อย ๆ แน่ โคตรแรร์แล้วล่ะ

หนังถ่ายฟิล์มที่เน็ตฟลิกซ์ยอมให้ถ่าย ต้องเป็นโพรเจ็กต์ระดับมาสเตอร์เท่านั้นจริง ๆ

สรุป นี่เป็นหนังดราม่าแบบคลาสสิก รวดร้าว ลึก และใช้พลังของการพัฒนาตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม ใครถวิลหาพีเรียดดราม่าชั้นดีนี่คือหนังตอบโจทย์นั้นเลย ข้อเสียก็คือใครเหยียดขยาดหน้าหนังแนวนี้คือพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส