ความสามารถของนักแสดงฮอลลีวูดหลาย ๆ คนสามารถสะกดสายตาความรู้สึกของเราให้ตรึงอยู่กับภาพบนจอได้อย่างชะงัด แต่หารู้ไม่บางเรื่องกว่าจะได้ฉากที่สุดระทึก หรือได้อารมณ์อย่างน่าประทับใจมาให้เราเห็นบนจอนั้น เบื้องหลังก็ผ่านมาด้วยความยากลำบาก อาจจะด้วยความกดดันในการทำงาน การอินจัดในบทบาทของนักแสดงร่วม การผิดคิว หรือความเฮี้ยบของผู้กำกับก็ตาม ล้วนส่งผลต่อสภาพจิตของนักแสดง บางครั้งบางตอนมันก็พาไปถึงจุดที่หมดความอดทนจนนักแสดงแทบจะขอเลิกเล่น ไม่เอาอีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องจำกล้ำกลืนกัดฟันแสดงไปจนจบสิ้น ก็ด้วยสัญญาการทำงานนั่นล่ะ ถ้าไม่ทนก็ต้องเจอสตูดิโอฟ้องร้องกลับในจำนวนที่มากกว่าค่าตัวในการแสดงเสียอีก และนี่คือ 10 ฉากจากหนัง 10 เรื่องที่เบื้องหน้าดูสนุกแต่เบื้องหลังนี่สิ ที่นักแสดงเหล่านี้ล้วนต้องจดจำไปตลอดชีวิตกันเลย
1.Star Wars: The Force Awakens
สำหรับหนังมหากาพย์อย่าง Star Wars ที่แต่ละไตรภาคมีมูลค่านับพันล้านเหรียญ การเปิดตัวนักแสดงใหม่แต่ละคนนับเป็นข่าวใหญ่ที่สาวกทั่วโลกต่างจับตามอง อย่างเช่นตอนเปิดตัว เฮย์เด็น คริสเท็นเซ็น ในไตรภาคที่ 2 และ การเปิดตัวเดซี ริดลีย์ ในไตรภาคล่าสุดภายใต้ชายคาดิสนีย์ที่เปิดจบลงไปนั้น
ในวันที่เดซี ริดลีย์ ได้รับเลือกให้รับบทเป็น เรย์ ตัวละครนำในไตรภาคล่าสุดนั้น เธอเพิ่งอายุได้ 22 ปี นับเป็นทั้งโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตและภาระใหญ่หลวงที่ต้องแบกรับหนังทุนสร้างระดับร้อยล้าน ที่มีสาวกทั่วโลกรอคอย เดซีแบกรับความกดดันอย่างมาก และเธอต้องเจอกับการทดสอบอย่างหนักตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาก The Force Awakens ในปี 2014 เมื่อทีมงานยกกองไปถ่ายกันกลางทะเลทราย แล้วเธอต้องร่วมงานกับผู้กำกับใหญ่อย่าง เจ.เจ. อบรามส์ ที่มีผลงานขึ้นหิ้งมามาก แต่ก็เป็นฝีมือของ เจ.เจ. นี่ล่ะ ที่ทำเอาเดซีเกือบสติแตกกลางทะเลทราย เมื่อ เจ.เจ. เลือกใช้วิธีเขียนข้อความลงกระดาษส่งให้เธอ มีใจความวิจารณ์ถึงการแสดงของเธอว่า “แข็งอย่างกับท่อนไม้” ทำเอาเดซีแทบหมดกำลังใจและอยากจะเดินออกจากกองถ่ายเดี๋ยวนั้น แต่ก็ยังดีที่ทีมงานช่วยกันปลอบประโลม จนเธอหันกลับมาฮึดสู้อีกครั้งได้สำเร็จ
2.The Abyss (1989)
เจมส์ คาเมรอน เป็นอีกหนึ่งผู้กำกับที่ได้ชื่อว่า “จอมสมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะกองถ่ายหนัง The Abyss ที่นักแสดงและทีมงานต่างกล่าวขวัญว่าเปรียบได้กับ “นรก” ดี ๆ นี่เอง เพราะหนังถ่ายทำกันอย่างหนักหนาสาหัสมากถึง 70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แล้วเป็นแบบนี้ต่อเนื่องมา 6 เดือนแล้ว พอนึกภาพบรรยากาศการทำงานออกเลยล่ะ คนหนึ่งที่เต็มกลืนจริง ๆ กับการทำงานในเรื่องนี้คือ เอ็ด แฮร์ริส พระเอกของเรื่อง เขาเป็นคนแรกที่สติแตก เพราะเขาเกือบจมน้ำตายในระหว่างถ่ายทำ จากความเจ้ากี้เจ้าการของ เจมส์ คาเมรอน ผลคือ เอ็ดตรงเข้าไปชกหน้าเจมส์ไปหนึ่งที แล้วก็ออกจากกองถ่ายกลับบ้านไปเลย เขาเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังภายหลังว่าระหว่างทางขับรถกลับบ้านเขาสติแตกด้วยความเครียด ร้องไห้ฟูมฟายไปตลอดทาง แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาถ่ายทำต่อจนจบ
อีกคนที่เจอกับประสบการณ์เลวร้ายอย่างมากไม่แพ้กันคือ แมรี่ เอลิซาเบ็ธ มาสทรานโทนิโอ นางเอกของเรื่อง ฉากที่ทำเอาเธอสติแตกคือฉาก CPR เป็นฉากที่หลายคนจดจำได้จากเรื่องนี้ ในฉากนี้บท ลินด์เซย์ บริกแมน ของเธอกำลังจะตาย ทีมงานพยายามช่วยกันผายปอดอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่เป็นผลเธอแน่นิ่งไปแล้ว แต่ บัด บริกแมน บทของ เอ็ด แฮร์ริส ไม่ยอมแพ้ ยังมุ่งมั่นผายปอดเธอต่อไป เขาทั้งฉุดกระชากคอเสื้อของเธอเขย่าและตะโกนใส่เธออย่างแรงว่า “สู้สิ” บัดยังคงผอยปอดเธอต่อไป ทั้งปั๊มหน้าอกและประกบปาก และท้ายที่สุดตบหน้าเธอซ้ายทีขวาทีจนเธอรู้สึกตัวในที่สุด เป็นฉากที่เอ็ด แฮร์ริส ทุ่มเทการแสดงอารมณ์อย่างมาก ถึงแม้ว่าบท ลินด์เซย์ ของแมรี่ ที่เห็นเหมือนนอนเฉยๆ แน่นิ่งนั้น แต่ที่จริงแล้วเธอก็รับบทบาทหนักหนาไม่แพ้กัน เพราะเธอต้องนอนอยู่บนแผ่นเหล็กที่เปียกและเย็นจัด แต่ที่แย่ที่สุดคือทั้งคู่ถ่ายฉากนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว เพราะยังไม่เป็นที่พอใจของ เจมส์ คาเมรอน
แมรี่ เอลิซาเบ็ธ มาสติแตกเอาในเทคที่เธอคิดว่าดีแล้ว แต่ช่างถ่ายภาพยนตร์มาบอกว่า กล้องเสียระหว่างที่ถ่ายทำฉากนี้ไปได้ครึ่งทางแล้ว พอรู้ดังนั้น แมรี่ก็สติแตกทันที เธออยู่ในภาวะที่รับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว แมรี่เดินเข้าตะโกนใส่เจมส์ว่า “พวกเราไม่ใช่สัตว์นะ” แล้วก็เดินออกจากกองถ่ายไปเลย
เจมส์ต้องแก้ไขฉากนี้ด้วยการถ่าย เอ็ด แฮร์ริส ไปคนเดียว เขาต้องแสดงฉากนี้ด้วยการตะโกนใส่อากาศเพราะ แมรี่ไม่กลับมาแล้วจริง ๆ ด้วย ถ้าดูคลิปฉากนี้จะเห็นว่ากล้องจะจับภาพหน้าของเอ็ดเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่า แมรี่ทิ้งกองถ่ายไปทำใจนานแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็ยอมกลับมาเข้าฉากถ่ายทำจนจบ แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่า The Abyss เป็นหนังไซไฟที่ได้รับการยกย่องว่าท้าทายและยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์
3.Rocky IV
Rocky IV ปี 1985 เป็นภาคที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแฟรนไชส์นี้ ทำรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 300 ล้านเหรียญ เพราะเป็นภาคที่สุดมันส์ เมื่อร็อกกี้ บัลโบ ต้องตะบันหน้ากับ อิวาน ดราโก แชมป์จากประเทศรัสเซีย ที่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งใน Creed II (2015)
แต่ก่อนที่ ร็อกกี้ กับ อิวาน จะมาเผชิญหน้ากันบนสังเวียนเป็นศึกสำคัญที่เป็นไคลแมกซ์ของหนังนั้น ก็ต้องมีการปูความปูอารมณ์กันมาเสียก่อน ด้วยการให้ อพอลโล ครีด (รับบทโดย คาร์ล เวเธอร์) มาเผชิญกับ อิวาน ดราโก (รับบทโดย ดอล์ฟ ลันด์เกรน) เสียก่อน ผลสรุปของศึกนี้ก็คือ อิวาน จอมโหด ซัดอพอลโลอย่างหนักหน่วงจนเสียชีวิตบนเวทีนั้นเลย กลายเป็นชนวนความแค้นให้ร็อกกี้ต้องหวนคืนสังเวียนมาแก้แค้นให้เพื่อนรัก
ปัญหามันเกิดขึ้นในระหว่างถ่ายทำศึกระหว่าง อพอลโดล กับ อิวาน นี่แหละ เมื่อ ดอล์ฟ ลันด์เกรน เกิดอินจัดกับบทนักมวยเฮฟวี่เวธ ดูคลิปประกอบไปด้วยจะเห็นว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง หลังแลกหมัดไปได้ชั่วครู่ อิวานก็จับตัวอพอลโลเหวี่ยงไปกระแทกเชือกอีกฝั่งหนึ่งของสังเวียน ซึ่งการกระทำนี้น่าจะอยู่นอกบทล่ะ เลยทำให้ คาร์เล เวเธอร์ อารมณ์เสียอย่างหนัก เขาเดินออกจากกองถ่ายเดี๋ยวนั้น แล้วโทรหาเอเยนต์ส่วนตัว บอกว่าเขาไม่เล่นอีกต่อไปแล้ว ร้อนไปถึง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน พระเอกของเรื่องและควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย ต้องลงมาแก้ปัญหานี้เอง เขาไปพูดคุยเกลี้ยกล่อมคาร์ลอยู่นาน ซิลเวสเตอร์บอกว่าเขาได้พูดคุยกับดอล์ฟ ลันด์เกรน แล้วเช่นกัน ให้ดอล์ฟเพลา ๆ ลงหน่อย อย่าอินกับบทนัก สุดท้ายคาร์ลก็ใจอ่อนแล้วยอมกลับมาแสดงต่อได้ในที่สุด แต่นั่นก็ทำให้กองถ่ายต้องหยุดชะงักไปถึง 4 วันเลย
4.The French Connection (1971)
หนึ่งในหนังคลาสสิกของฮอลลีวูด ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์มากถึง 11 สาขา และสามารถคว้ามาได้ถึง 5 สาขา ซึ่งรวมไปถึงรางวัลใหญ่อย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และ นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แต่หารู้ไม่ว่าเส้นทางกว่าจะมาถึงความสำเร็จในจุดนี้ได้ ก็ต้องผ่านอุปสรรคในระหว่างถ่ายทำมามาก โดยเฉพาะปัญหาระหว่างผู้กำกับ วิลเลียม ฟรีดกิน และ ยีน แฮกแมน นักแสดงนำของเรื่อง ที่เริ่มมาจากตัววิลเลียมเองที่ชอบป่าวประกาศว่า ยีน แฮกแมน ไม่ใช่ตัวเลือกแรกในบทนี้ที่เขาต้องการเลย ก็ช่างบั่นทอนความรู้สึกในการทำงานพอดู
แล้ว ยีน แฮกแมน ต้องมาเจอฉากที่ทำให้เขาอึดอัดใจที่จะแสดง เมื่อถูกบังคับให้สวมชุดแซนตา ในฉากแอ็กชันที่เขาต้องวิ่งไล่ล่าบุคคลเป้าหมายในเรื่อง ซึ่งทำให้บรรยากาศการทำงานผ่านไปอย่างไม่ราบรื่นนัก มีคนในกองถ่ายนับได้ว่า ยีน แฮกแมน ประกาศก้องว่าออกจากกองถ่าย ไม่เล่นแล้ว ถึง 27 ครั้ง ซึ่งตัว ยีน แฮกแมน เองก็พูดถึงเรื่องนี้ว่าเขาเกือบจะออกจากกองถ่ายอยู่หลายครั้ง ในตอนที่ขึ้นไปรับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
5.The Bird (1963)
ปรมาจารย์ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ก็ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับจอมสมบูรณ์แบบ ที่ทำเอานักแสดงนำหลายคนต่างเข็ดขยาดเมื่อผ่านการร่วมงานกับเขามา อย่างเช่นฉากอาบน้ำในตำนานจากหนัง Psyco (1960) ที่ในหนังเห็นกันแค่ 45 วินาที แต่ฮิตช์ค็อก สั่งถ่ายฉากนี้ใหม่ถึง 26 เทค และอีกหนึ่งนักแสดงที่ได้รับประสบการณ์เลวร้ายชวนจดจำก็คือ ทิปปี ฮีเดร็น ผู้รับบทนำจากหนัง The Bird ฉากที่สุดแสนสาหัสของเธอคือฉากที่เธอโดนฝูงนกโจมตีในฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง
ตอนที่เธอรับแสดงนั้น ในบทภาพยนตร์ระบุว่าฉากนี้จะให้นกปลอม บังคับด้วยระบบกลไกในการถ่ายทำ แต่ภาพที่ได้อาจจะไม่สมจริง ฮิตช์ค็อกก็เลยสั่งเปลี่ยนแผนให้ใช้นกจริงในการถ่ายทำฉากนี้ นกจำนวนมากถูกโยนเข้าใส่ทิปปีโดยทีมงาน หลาย ๆ ตัวก็ปล่อยไป และอีกหลายตัวก็ถูกเชือกล่ามไว้ ฉากนี้เห็นในหนังแค่ 2 นาทีกว่า ไม่รู้ว่าถ่ายไปทั้งหมดกี่เทค แต่ใช้เวลาถ่ายทำถึง 5 วันก็ยังไม่จบสิ้น จนทิปปีสติแตก ทนความกดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกไม่ไหว เธอทรุดตัวลงไปนั่งทั้งน้ำตา ทีมงานพาเธอไปหาหมอ ซึ่งหมอก็กำชับมาถึงฮิตช์ค็อกว่าต้องให้ทิปปีพักการถ่ายทำ 1 สัปดาห์
6.The Shining (1980)
เห็นได้ชัดเลยว่าแต่ละเรื่องที่เข้ามาใน 10 รายชื่อนี้ ล้วนเป็นผู้กำกับจอมสั่งเทคแทบทั้งสิ้น และ สแตนลีย์ คูบริก ก็เป็นผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าจอมสมบูรณ์แบบระดับต้น ๆ ของวงการเลยก็ว่าได้ นักแสดงที่ต้องเจอวิบากกรรมจากเรื่องนี้ก็คือ เชลลี ดูวัลล์ ในบท เว็นดี้ เธอต้องเจอสภาวะกรรมในระหว่างถ่ายทำ ขนาดที่ว่า แจ็ก นิโคลสัน นักแสดงร่วมยังรู้สึกเห็นใจ ถึงกับเอ่ยปากเลยว่า
“เชลลีต้องเจอกับงานแสดงที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่เขาเคยเห็นมาในอาชีพนักแสดง”
ฉากที่ว่านี้ เว็นดี้ กำลังหนีการไล่ล่าจาก แจ็ก ทอร์แรนซ์ สามีของเธอเองที่โดนปีศาจเข้าสิง เว็นดี้อยู่ในสภาวะจนตรอก เธอมีเพียงไม้เบสบอลในมือที่เป็นอาวุธปกป้องตัวเอง ฉากนี้เธอต้องร้องไห้ไป พลางถอยไป ปากก็พร่ำขอความเห็นใจจากแจ็กว่าอย่าทำร้ายเธอ แม้ว่าจะไม่ใช่ฉากสำคัญของหนัง แต่สแตนลีย์ คูบริก ก็ยังไม่พอใจ สั่งให้แสดงฉากนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่รู้จบ ทำให้เธออ่อนแรงอย่างมาก แล้วยังต้องเสียน้ำอย่างมาก เพราะเธอต้องร้องไห้ตลอดเวลา พอหนังปิดกล้อง เชลลี ดูวัลล์ ถึงกับผมร่วง สุดท้ายฉากที่ว่านี้ได้รับการบันทึกสถิติโดย กินเน็ส บุ๊ก ว่าเป็นฉากที่ถ่ายทำมากสุดถึง 127 เทค
อ่านต่ออีก 6 เรื่อง หน้า 2 ครับ
7.China Town (1974)
อีกหนึ่งหนังคลาสสิกของฮอลลีวูด ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 11 สาขา แต่คว้ามาได้รางวัลเดียว จากสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ก็กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี แน่นอนว่าผลงานคลาสสิกมักมีเบื้องหลังที่ไม่ราบรื่นนัก ในเรื่องนี้คือการขัดแย้งระหว่างผู้กำกับโรมัน กับ เฟย์ ดันนาเวย์ นักแสดงนำหญิงของเรื่อง เหตุเกิดในฉากที่ เจ.เจ. กิตเทส บทของ แจ็ก นิโคลสัน โผล่มาเซอร์ไพรส์ เอเวลีน มัลเวรย์ บทของเฟย์ ในรถของเธอเอง แล้วเขาก็ซักไซร้ไล่ความเธออย่างหนัก
ในระหว่างถ่ายทำฉากนี้ เฟย์ปวดปัสสาวะมาก ขอปลีกตัวไปห้องน้ำ แต่ที่แปลกก็คือผู้กำกับโรมัน ปฏิเสธ ยืนกรานให้เธอถ่ายทำฉากนี้ต่อไปจนกว่าเขาจะพอใจนั่นล่ะ เธอถึงได้ไปเข้าห้องน้ำเสียที พอออกจากห้องน้ำมาได้ เฟย์ก็ขอกาแฟหนึ่งแก้วจากทีมงาน แต่เมื่อได้มาเธอกลับไม่ดื่ม แต่เอาไปสาดหน้าผู้กำกับโรมัน เป็นการระบายความแค้นซะงั้น
8.The Fast and Furious (2001)
มีหนังเอาใจตลาดเข้ามาอยู่ในรายชื่อด้วยเหมือนกันเฮะ แต่เป็นเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดตั้งแต่ภาคแรกของหนังเลย ในภาคแรกนั้นบทนำของหนังก็คือ ดอม, ไบรอัน และ เล็ตตี้ ปัญหามันมาจากตัว มิเชล รอดริเกซ นักแสดงสาวผู้รับบท “เล็ตตี้” นี่ล่ะ หลังจากเธอเซ็นสัญญามาแล้ว เมื่อเธอได้อ่านบทจริงจังแล้วก็เกิดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกับเรื่องราว “รักสามเส้า”
ในบทดั้งเดิมนั้นเขียนให้ ดอม และ ไบรอัน เกิดหลงรัก “เล็ตตี้” ด้วยกัน เหตุผลของมิเชลก็คือเธอรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ที่จะให้เล็ตตี้ที่คบหากับดอม ในฐานะผู้นำกลุ่มอยู่แล้ว เกิดนอกใจดอมเพราะมาหลงรักหนุ่มสำอางอย่างไบรอัน มิเชลยืนกรานหัวชนฝาว่าทีมงานจะต้องแก้บทนี้ให้จงได้ ไม่งั้นเธอขอถอนตัว ทางสตูดิโอจะฟ้องเธอก็ยินยอมเพราะเธอฝืนเล่นบทแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ สุดท้ายทีมงานก็เห็นคล้อยกับเธอยอมแก้บท แล้วเพิ่มเติมบท “มิอา” น้องสาวของดอมเข้ามาเป็นคนรักของไบรอันแทน ลงเอยกันแบบแฮปปี้
9. 12 Rounds (2009)
จอ์น ซีนา เป็นอีกหนึ่งนักมวยปล้ำมืออาชีพที่หันมาเอาดีทางการแสดง และ 12 Round ก็เป็นผลงานเรื่องแรก ๆ ที่เขารับบทนำ เรื่องนี้เขารับบทเป็น แดนนี ฟิเชอร์ นักสืบหนุ่มที่ต้องช่วยชีวิตแฟนสาวของตัวเอง หลังจากถูกคนร้ายที่เป็นอดีตนักโทษลักพาตัวไป และแดนนีต้องทำตามข้อเรียกร้องจากคนร้าย 12 ข้อ แล้วคนร้ายจะปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ ก็นับว่าบทพระเอกหนังแอ็กชันดูเหมาะกับภาพลักษณ์บึกบึนของ จอห์น ซีนา เป็นอย่างดี
แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ชายสูงใหญ่มาดแมนตามแบบนักมวยปล้ำนี้ ดูเหมือนจะเป็นชายถึกทนที่ไม่กลัวกับอะไรง่าย ๆ แต่หารู้ไม่ จอห์นนั้นเป็นคนที่กลัวความสูงเป็นอย่างมาก ซึ่งก็กลายมาเป็นอุปสรรคในการแสดงหนังแอ็กชันเสียด้วย เมื่อมีฉากที่เขาต้องโรยตัวลงมาข้างตึก แล้วคว้าเชือกไว้ได้กลางอากาศ จอห์น ซีนา เผยถึงฉากนี้ไว้ในคลิปเบื้องหลังที่แถมมาใน DVD ว่าถ้าฉากนี้เขาไม่ได้ทีมสตันท์แมนมาช่วยไว้ล่ะก็ เขาอาจจะเลิกแสดงไปแล้วก็ได้
10.This is The End (2013)
หนังตลกสัปดนผลงานของ 3 เกลอ เจมส์ ฟรานโค, โจนาห์ ฮิลล์ และ เซ็ธ โรเจ็น ที่จำลองเหตุการณ์วันโลกแตก แล้วทุกคนก็รับบทเป็นตัวเอง แล้วยังเชิญเพื่อนดาราฮอลลีวูดจำนวนมากมารับบทรับเชิญคนละนิด คนละหน่อย โดยที่ทุกคนก็รับบทเป็นตัวเองเช่นกัน และหนึ่งในนั้นก็คือ เอ็มมา วัตสัน
ในหนังนั้นบทของเธอมีแค่ไม่กี่นาทีแล้วก็หายไป ตามบทเดิมแล้วบทของเอ็มมาจะมีมากกว่านี้ แต่ได้รับการเปิดเผยว่าบทเธอถูกตัดให้สั้นลงเป็นเพราะความต้องการของเธอเอง ที่รู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับกองถ่ายนี้เป็นเวลานาน หลัก ๆ คือเธอทนภาพลักษณ์อันอุจาดของ แชนนิง ทาทัม ไม่ไหว ที่โผล่มาในสภาพเกือบเปลือยใส่หน้ากากปิดหน้า แต่ท่อนล่างใส่แค่กางเกงในสายเดี่ยว ทำให้เอ็มมาต้องขอโบกมือลากองถ่ายนี้ไปก่อนกำหนด
เจมส์ ฟรานโค เองก็ได้พูดถึงเหตุการณ์นี้ในเวอร์ชัน DVD เช่นกันว่ามีดาราหญิงทนกับความเถื่อนหยาบของกองถ่ายนี้ไม่ไหว จนต้องขอลา แต่เจมส์ก็ไม่ได้เอ่ยชื่อ เอ็มมา วัตสัน ออกมา
11.How the Grinch Stole Christmas (2000)
อีกหนึ่งหนังสำหรับครอบครัวรับเทศกาลคริสต์มาสที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก กวาดรายได้ทั่วโลกไป 345 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่ 123 ล้านเหรียญ ส่วนหนึ่งก็มาจากการขายชื่อ จิม แครีย์ ในยุคที่ชื่อเสียงยังพอได้รับความนิยมอยู่ แม้จะเป็นหนังคอมเมดี้ ที่สร้างมาเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผู้ชม แต่เบื้องหลังนั้นกลับเต็มไปด้วยความอึดและทรมานกับ จิม แครีย์ ผู้รับบทเป็น กรินช์ เจ้าปีศาจขนยาวสีเขียวผู้รังเกียจวันคริสต์มาส และยังส่งให้ ริค เบเกอร์ ผู้รับหน้าที่แปลงโฉมนี้คว้าออสการ์ สาขา แต่งหน้ายอดเยี่ยม ไปครองอีกด้วย
ที่จิม แครีย์ จะต้องเจอความทุกข์แสนสาหัสนี้ก็เพราะว่านี่คือหนังที่เขาจะไม่ได้เผยรูปร่างหน้าตาตัวเองให้เห็นในหนังเลย เพราะขั้นตอนในการแปลงโฉมนั้น จิมต้องนอนให้ทีมงานแปลงโฉมเขาถึงวันละ 8 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจิมบรรยายความรู้สึกนี้ว่าเหมือนกับ “ถูกฝังทั้งเป็น” พอจินตนาการได้หรอกนะว่ามันทรมานขนาดไหน ซึ่งจิมก็ระบายอารมณ์ด้วยการเตะผนังรถเทรลเลอร์ของเขาจนเป็นรูบนกำแพง แล้วเขาก็เดินไปบอกกับผู้กำกับ รอน โฮเวิร์ด ว่าเขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาขอเลิกแสดงแค่นี้
วิธีแก้ปัญหาของ รอน โฮเวิร์ด ก็แปลกประหลาดสุดเท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย เขาโทรไปปรึกษา ไบรอัน เกรเซอร์ ผู้อำนวยการสร้างของหนังถึงปัญหาที่ จิม แครีย์ ประสบอยู่ขณะนี้ ไบรอัน ก็เลยหาทางออกด้วยการจ้าง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน CIA ผู้มีความเชี่ยวชาญในการฝึกสอนเพื่อรับสถานการณ์ถ้าโดนศัตรูจับตัวไป “ทรมาน” โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ก็มานั่งประกบกับ จิม แครีย์ ขณะที่ต้องนอนให้แปลงโฉม แล้วให้คำแนะนำต่าง ๆ ที่จะให้เขาผ่านพ้นช่วงเวลาแบบนี้ไปได้โดยไม่ตึงเครียดเกินไปนัก
กลายเป็นว่าได้ผลดี จิม แครีย์ สามารถผ่านการแปลงโฉมมาได้กว่า 100 ครั้้ง กว่าที่หนังจะถ่ายทำเสร็จ ซึ่งเขาก็ยกความดีความชอบให้กับเจ้าหน้าที่ CIA ผู้นั้น ขณะที่เขาอยู่ในชุด “กรินช์” เขาก็ผ่อนคลายด้วยการสูบบุหรี่แบบมวนต่อมวน ซึ่งทีมงานก็ต้องใช้ก้านต่อบุหรี่แบบยาวพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ไฟหรือขี้บุหรี่ไปโดนขนยาว ๆ ของเจ้ากรินช์ ไม่เช่นนั้นจิม แครีย์ อาจจะโดนย่างสด
12.Roar (1981)
ผลงานการแสดงนำอีกเรื่องของ ทิปปี ฮีเดรน จาก The Bird ในเรื่องนี้เธอ สามี และลูก ๆ พากันย้ายถิ่นฐานมาพำนักอยู่ในบ้านห่างไกลผู้คนกลางป่า แล้วสุดท้ายครอบครัวเธอก็โดนโจมตีจากกองทัพสัตว์ป่า เป็นหนังที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นกองถ่ายที่มีความอันตรายที่สุด ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์อเมริกัน
หนังใช้เวลาถ่ายทำยาวนานมากกกก ถึง 11 ปี หลังจากปิดกล้อง มีการจดบันทึกได้ว่า นักแสดงและทีมงานกว่า 70 คน ได้รับบาดเจ็บจากการถูกสัตว์ทำร้ายระหว่างถ่ายทำ ทิปปี ฮีเดรน ผ่านวิบากกรรมกับนกมาแล้วใน The Bird ซ้ำร้ายเรื่องนี้เธอยังต้องบาดเจ็บกระดูกขาร้าว และมีบาดแผลที่น่อง
ผู้กำกับ โนเอ็ล มาร์แชล เองก็ได้รับบาดเจ็บจนแผลติดเชื้อเรื้อรัง, ญาน เดอ บงต์ ผู้กำกับภาพ ดนสิงโตตะปบ เย็บไปถึง 220 เข็ม, โดรอน เคาเพอร์ ผู้ช่วยผู้กำกับโดนสิงโตตะปบเช่นกัน เป็นแผลเปิดที่ช่องคอ
เมลานี กริฟฟิธ นางเอกชื่อดังลูกสาวจริง ๆ และในเรื่องนี้ของ ทิปปี ฮีเดรน ในเรื่องนี้ ก่อนที่เธอจะเข้าฉากแสดงกับสิงโต 2 ตัว แล้วเธอเห็นสิงโตในกรงกำลังกัดกัน เธอก็ปฏิเสธทันที ไม่ขอเข้าไปในกรงนั้นและยกเลิกไม่ขอแสดงเรื่องนี้ต่อ
“หนูไม่อยากกลับออกมาแบบมีหน้าเหลือครึ่งเดียวหรอกนะ”
ตามฟอร์มล่ะ หนังเดินหน้าไปแล้วปล่อยให้หยุดไม่ได้ ทีมงานก็ช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ เมลานีกลับมาเข้ากล้อง แต่สุดท้ายสัญชาตญาณเธอก็เป็นจริง ระหว่างถ่ายทำฉากนี้ เธอก็เกือบถูกสิงโตขย้ำเข้าจริง ๆ ร้อนถึงจอห์น พี่ชายของเธอต้องเข้ามาช่วย เรียกร้องความสนใจของสิงโตให้มาวิ่งไล่เขาแทน มันเลยปล่อยเมลานีไว้คนเดียวในกรง เธอรอดมาได้แต่ก็โดนเย็บไป 50 เข็ม