Release Date
08/10/2020
A Moment of Romance ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ /ค่าย Right Beyond / ความยาว 87 นาที
กำกับ : เฉินมู่เซิง (Benny Chan) / นำแสดง : หลิวเต๋อหัว , อู๋เซียนเหลียน
Our score
8.2[รีวิว] A Moment of Romance ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ – ภาพฝันแสนโรแมนติกของหนุ่มสาวยุค 90s
จุดเด่น
- งานภาพนับว่าดีที่สุดแล้วเท่าที่เคยดูมา
- ตัวหนังยังน่าประทับใจเสมอ
- เสน่ห์ของหลิวเต๋อและเคมีกับอู๋เซียนเหลียนคือที่สุดของความโรแมนติกแสนอันตรายอันเป็นอมตะ
จุดสังเกต
- ข้อจำกัดจากทุนสร้างและการเก็บรักษาอาจทำให้ความคมชัดด้อยไปหน่อย
-
ความสมเหตุสมผลของบทภาพยนตร์
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
9.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
9.0
-
ความคุ้มค่าตั๋ว
9.0
ย้อนไป 30 ปีก่อนเมืองไทยได้ต้อนรับหนังจากฮ่องกงที่กลายเป็นปรากฎการณ์อย่างไม่น่าเชื่อทั้งยอดขายตั๋ว การนำมาฉายซ้ำและสถิติคนดูซ้ำมากที่สุดในเวลานั้น โดยนนทนันท์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ในขณะนั้นได้ควักเงินหลักแสนในการซื้อสิทธิ์หนังมาฉายในเมืองไทยเพื่อหวังให้เป็นโปรแกรมคั่นกลางรอหนังฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์เข้าฉายแต่กลับสร้างปรากฎการณ์หนังฮ่องกงฟีเวอร์ที่กินเวลาอย่างน้อย 2 ทศวรรษต่อมา
โดยหนังจะเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่าง อาหว่อ (หลิวเต๋อหัว) นักเลงหัวไม้ที่ชีวิตไร้อดีตและมองไปแทบไม่เห็นอนาคต วันดีคืนดีขณะที่เขาขับรถให้อาตงนักเลงบ้าดีเดือดไปปล้นร้านเพชรโชคชะตาได้พาเขาให้ต้องจับ โจโจ้ (อู๋เซียนเหลียน) ลูกสาวเศรษฐีเป็นตัวประกัน แม้จะสามารถปกป้องเธอจากการถูกฆ่าปิดปากและเธอก็เลือกไม่ชี้ตัวคนร้ายให้ตำรวจ แต่อาตงและตำรวจก็ยังตามจองล้างจองผลาญอาหว่อกับโจโจ้อยู่ดีและในโมงยามความเป็นความตายความรักของทั้งคู่ได้ก่อตัวขึ้นแม้อนาคตของพวกเขาจะสิ้นหวังแค่ไหนก็ตาม
โดยส่วนตัวแล้วความทรงจำแรกของหนังเรื่องนี้ผมได้ดูมันผ่านการฉายทางโทรทัศน์นะครับซึ่งก็เลือนลางเต็มทีสำหรับเด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบในขณะนั้นจะจำอะไรได้นอกจากภาพหลิวเต๋อหัวกับอู๋เชียนเหลียนขี่มอเตอร์ไซค์บนทางด่วน แล้วถัดมาอีกร่วมทศวรรษก็เริ่มหาหนังดูจากกระบะ VCD ซึ่งคุณภาพก็ตามมีตามเกิดมาก ๆ เน้นฟังเสียงพากย์ใหม่โดยทีมพันธมิตรมากกว่าแต่ประสบการณ์ร่วมของเราก็น้อยลงตามกาลเวลาและประสบการณ์การดูหนัง
จนกระทั่งวันอังคารที่ 29 กันยายนที่ทาง SF Cinema ได้เชิญมาดูรอบสื่อของหนังที่ได้ฉายในวาระครบรอบ 30 ปีจึงเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีเลยที่เราจะได้รื้อฟื้นความทรงจำอันเลือนรางและรับประสบการณ์ที่น่าจะใกล้เคียงกับผู้ชมเมื่อ 30 ปีก่อนที่สุดแล้ว และเราก็พบว่ามันให้ประสบการณ์เหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว
ในเหตุและผลประการแรกเลยคือเราได้ดูหนังในอัตราส่วนที่ถูกต้องเสียทีคือ 1.85:1 ซึ่งเดิมทีในรูปแบบโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์และทางโทรทัศน์มันจะถูกตัดในอัตราส่วน 4:3 หรือประมาณ 1.33:1 ดังนั้นพื้นที่ที่เสียไปเราจะได้ดูแบบเต็มตาและก็พบว่าตัวผู้กำกับเฉินมู่เซิ่งตั้งใจออกแบบโลกอาชญากรรมและความรักผ่านงานภาพอย่างพินิจพิเคราะห์ต้้งแต่ดงหญ้าที่อาหว่อเผารถอันที่เป็นจุดพลิกผันพาให้โจโจ้เริ่มรู้จักโลกอันตรายนอกรั้วบ้าน ไปจนถึงถนนยามค่ำคืนที่ทอดยาวจนไม่เห็นทางเป็นไปได้ของปลายทางความรักของทั้งคู่ที่ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้คนดูได้คล้อยตามกับเรื่องราวที่ดูแล้วบอกตรง ๆ ว่ามันก็คือหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่งนี่แหละนะให้ “อิน” ตามได้ไม่ยาก
อีกประการสำคัญคือการได้เห็นเคมีการแสดงระหว่างทั้งหลิวเต๋อหัวและอู๋เซียนเหลียนที่บอกตามตรงว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังยังวิ่งวนอยู่ในใจคอหนังยุค 90s แบบไม่ยอม “มูฟออน” เสียทีและคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าการชม “ซ้ำ” ของผมในรอบนี้ก็อาจกล่าวเทียบได้กับคนดูยุคนั้นที่อาจมีวาระในการไปดูดาราที่ชอบหรือประทับใจเรื่องราวแต่สำหรับผมรอบนี้มันคือการไปเสพความเท่ของเฮียหลิวและได้ของแถมคือโดนอู๋เซียนเหลียน “ตก” ให้เราหลงรักเธอในหนังได้อย่างหัวปักหัวปำจริง ๆ
สำหรับการแสดงของหลิวเต๋อหัวนั้นเราตระหนักมาตั้งแต่ดูรอบแรก ๆ แล้วแต่กับอู๋เซียนเหลียนการได้ดูแอ็กติงน้อย ๆ มินิมอล ๆ บนจอใหญ่ทำให้เราได้เห็นพลังที่ไม่เคยสังเกตมาก่อนทั้งความขัดแย้งในใจที่เธอแสดงออกมาตอนมองเสื้อยีนส์ที่เธอเอามาซักหลังจากอาหว่อส่งเธอที่บ้านครั้งแรก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากเป่าเทียนวันเกิดท่ามกลางสายฝนที่โรแมนติกและเศร้าในคราวเดียวกันไปจนถึงฉากจบชวนใจสลายกับภาพอาโจโจ้เจ้าสาวที่เดินเดียวดายบนถนน
สำหรับด้านเทคนิคแล้วการนำมาฉายครั้งนี้แม้จะคาดหวังกับการรีมาสเตอร์แค่ไหน แต่ในความเป็นจริงเมื่อมองไปที่ฟิล์มต้นฉบับก็ต้องทำใจยอมรับกับข้อจำกัดเรื่องงบประมาณแต่อย่าเข้าใจว่าหนังทำแบบสุกเอาเผากินนะครับตรงกันข้ามเลยคือมันพยายามถ่ายทอดแต่ละช็อตอย่างตั้งใจที่สุดแล้วแต่ด้วยความเป็นฟิล์ม 35 มม.ที่ถ้าจัดแสงไม่ถึงก็ขึ้นเกรนได้เหมือนกันประกอบกับการเก็บรักษาฟิล์มที่อาจไม่ได้เพียบพร้อมเท่าของฝรั่งเราเลยยังเห็นรอยขีดข่วนบนฟิล์มอยู่แต่ก็น้อยมากนะครับ
ส่วนงานภาพต้องบอกว่าปัจจัยหนึ่งที่มีผลสืบเนื่องมาจากงบประมาณอันน้อยนิดคือเวลาในการถ่ายทำที่น้อย ความประณีตบางฉากก็ลดลงไปเราเลยเจอทั้งภาพซอฟต์โฟกัสดูเบลอ ๆ ไปบ้างหรือเกรนฟิล์มในฉากภายในที่จัดแสงไม่พอบ้าง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเสน่ห์ของหนังฮ่องกงยุค 90 อยู่เหมือนกันนะครับเพราะมันคือสุนทรียะของงานภาพที่มีความดิบอยู่ในหนังนิด ๆ ที่รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม French New Wave ของฝรั่งเศสมาอีกทีซึ่งก็ให้ความเรียลในงานภาพได้ดีครับ
แต่แม้จะมีปัญหาในการทรานสเฟอร์ที่อาจไม่ได้ใสระดับ 4K เหมิอนหนังฮอลลีวูดที่รีมาสเตอร์ใหม่และลบรอยฟิล์มหมดจด เราก็ปฏิเสธไม่ลงอยู่ดีว่า ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ คือประสบการณ์ดูหนังที่ควรดูในโรงภาพยนตร์ซักครั้งในชีวิตจริง ๆ
สำหรับ ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ ในวาระครบรอบ 30 ปีจะกลับมาสร้างความประทับใจครั้งใหม่โดยมีกำหนดฉายในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ในโรงภาพยนตร์เครือ SF เท่านั้น
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส