Release Date
14/10/2020
แนวภาพยนตร์
สารคดี
เรต
13+
ความยาว
1.19 ชม. (79 นาที)
ผู้กำกับ
แคโรไลน์ ซูห์ (Caroline Suh)
Our score
9.5BLACKPINK: LIGHT UP THE SKY
จุดเด่น
- เล่าเรื่องของทั้ง 4 คนได้แตกต่างเป็นตัวของตัวเองดีมาก
- การเล่าเรื่อง ตัดต่อ ลำดับภาพ ลำดับเสียง ไหลลื่น ดูสนุก เพลิน
- ฟุตเตจเรื่องราวชีวิตของทั้ง 4 คนและเบื้องหลังการทำงานเยอะมาก ดูแล้วคุ้มแน่นอน
จุดสังเกต
- ถ้าเพิ่มพาร์ตช่วงที่ให้ทั้ง 4 คนนั่งดูฟุตเตจขึ้นมากกว่านี้จะสนุกขึ้นมาก ๆ
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
9.8
-
คุณภาพงานสร้าง
9.6
-
คุณภาพของบทสัมภาษณ์ / ประเด็น
9.1
-
การตัดต่อ / การลำดับ และการดำเนินเรื่อง
8.8
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
10.0
ต้องบอกเลยว่า ปีนี้เป็นปีแห่งสารคดี Netflix จริง ๆ ครับ เพราะตลอดทั้งปีนี้ Netflix เอง จัดภาพยนตร์สารคดี Original มาลงให้ได้ดูกันอย่างสม่ำเสมอ แถมยังเป็นสารคดีเบอร์ใหญ่ที่คนดูอย่างผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสดู ซึ่งสารคดี BLACKPINK: LIGHT UP THE SKY เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องกดเซฟไว้ใน Wishlist เลย
สารคดีเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับหญิงเกาหลีสัญชาติอเมริกันอย่าง แคโรไลน์ ซูห์ (Caroline Suh) ที่เคยกำกับสารคดี Salt Fat Acid Heat ให้กับ Netflix มาแล้ว โดยเรื่องนี้จะไปเจาะลึกเรื่องราวของสมาชิกทั้ง 4 อย่าง จีซู,เจนนี่, โรเซ่, และ ลิซ่า ตั้งแต่เริ่มต้นเดบิวต์ในปี 2016 และกลายมาเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปที่มีผลงานติดชาร์ตสูงสุด และกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก จนถึงจุดสูงสุดในการได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตในหลายประเทศทั่วโลก และได้เป็นศิลปิน K-POP วงแรกที่ได้ขึ้นแสดงในเทศกาลดนตรี Coachella นอกจากนี้ยังถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของพวกเธอตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ในแบบที่ไม่เคยได้เห็นที่ไหนมาก่อนอีกด้วย
จะว่าไปแล้ว ความเจ๋งของสารคดีเรื่องนี้คือ ผู้กำกับอย่างแคโรไลน์ ซูห์ สรรหาหลากหลายวิธีการนำเสนอเรื่องราวของ BLACKPINK ได้ออกมากลมกล่อมมาก ๆ ครับ ในสารคดีเราจะได้เห็นวิธีการที่เธอได้หยิบเอาพาร์ตเรื่องราวต่าง ๆ มาเล่าด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ทั้งการสัมภาษณ์แบบ Headshot เหมือนกับสารคดีทั่ว ๆ ไป การสัมภาษณ์ในเหตุการณ์จริง การเก็บและร้อยเรียงฟุตเตจต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สามารถเรียงร้อยออกมาได้อย่างพอดี
รวมถึงการบันทึกภาพ และการเก็บฟุตเตจของสมาชิกทั้งสี่คนที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงการถ่ายทำและตัดต่อด้วยนะครับ เพราะแม้ว่าสารคดีเรื่องนี้จะเป็นสารคดีเล็ก ๆ และสั้นมาก ๆ แค่ชั่วโมงนิด ๆ เอง แต่ก็ต้องยอมรับว่า เป็นสารคดีที่สามารถถ่ายทำได้อย่างสวยงาม และการตัดต่อรวมถึงการทำ Color Collection ก็ถือว่าทำออกมาได้สวยงามเลยแหละ
สิ่งที่ผมชอบในตัวของสารคดีเรื่องนี้ มีสองจุดใหญ่ ๆ ครับ จุดแรกก็คือ วิธีการนำเสนอเรื่องราวในพาร์ตของสมาชิกแต่ละคน ซึ่งผู้กำกับฉลาดในการนำเสนอพาร์ตของทั้ง 4 คนแยกออกจากกัน แล้วนำเสนอตัวตนของแต่ละคนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น เจนนี่ ที่ภายนอกดูมีความเฟียร์ซ ๆ แซบ ๆ แต่ชีวิตจริง ๆ เธอก็มีมุมที่อ่อนหวานและขี้เล่นอยู่ จีซู พี่สาวคนโตที่ทั้งมีไหวพริบและเปี่ยมอารมณ์ขัน โรเซ่ สาวเกาหลีที่เติบโตในออสเตรเลีย ผู้มีพรสวรรค์ด้านศิลปินการร้องเพลงอยู่เต็มเปี่ยม
และที่จะขาดไม่ได้คือ ลิซ่า น้องเล็กของวงที่เต็มไปด้วยความสดใส ผมบอกได้เลยว่าในสารคดีเรื่องนี้ ใครที่ได้ชม จะได้เห็นลิซ่าในแบบที่ถูกที่ถูกทางมาก ๆ เป็นลิซ่าที่สดใส สดชื่น บ้าพลัง เป็นตะเร๊ก (ตัวเล็ก) ที่ดีดสุดอะไรสุด ยิ่งการได้เห็นลิซ่าในมุมมองของการเป็นตัวแทนคนไทยที่ได้ไปเป็นสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลี โดยซีนแรกของการสัมภาษณ์ ที่ลิซ่าใช้ภาษาไทยในการให้สัมภาษณ์ จุดนี้ผมบอกได้เลยครับว่าเป็นอะไรที่ปลาบปลื้มมาก ๆ มากจนน้ำตาไหลเลยแหละ (คนเขียนเป็นเมนลิซ่าก็งี้ละครับ ลำเอียงเห็น ๆ)
อีกจุดที่ผมชอบมาก ๆ ก็คือ พาร์ตที่ให้สมาชิกทั้ง 4 มานั่งดูฟุตเตจในอดีตของพวกเธอเอง แล้วก็ถ่ายเก็บรีแอ็กชันของพวกเธอในขณะที่ดูและเล่าเรื่องไปด้วยพร้อม ๆ กัน สำหรับผม พาร์ตนี้ไม่ใช่แค่การที่พวกเธอได้มาเล่าเรื่องและรำลึกอดีตเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะได้เห็นความเป็นธรรมชาติของพวกเธอทั้ง 4 คนเวลาที่ได้อยู่ร่วมกัน ได้พูดคุย หัวเราะ ร้องไห้ และเล่าเรื่องอดีตของแต่ละคน รวมทั้งเรื่องของการฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา การยึดมั่นในความฝันไม่ยอมท้อถอย ก่อนที่ BLACKPINK จะได้กลายวง K-POP ที่ไม่ได้ดังแค่ในเกาหลี หรือแถบเอเชีย แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ได้ในระดับโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ ทั้ง 4 คนสามารถเล่าออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลย
พูดถึงเรื่องของความเป็นธรรมชาติ อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ผู้กำกับสามารถที่จะถ่ายทำและบันทึกภาพพวกเธอออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ ซึ่งนับว่าไม่ง่ายนะครับ การเก็บภาพอิริยาบถต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การนั่งสัมภาษณ์ หรือเบื้องหลังการทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาพการใช้ชีวิตในมุมส่วนตัวสบาย ๆ ของพวกเธอ ตอนที่ไม่ได้ทำงานอีกด้วย ซึ่งผู้กำกับสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ มันจะมีสักกี่ครั้งกันเชียว ที่ได้นั่งดูแบล็กพิงก์เมาท์มอยหอยสังข์ เหมือนเป็นแก๊งเพื่อนสาวอะไรแบบนี้กันน่ะครับ 555
นอกจากเรื่องราวจุดเริ่มต้นและความสำเร็จของพวกเธอแล้ว อีกสองจุดที่เข้ามาเติมเต็มให้กับสารคดีเรื่องนี้ก็คือเรื่องราวของวัฒนธรรม K-POP ซึ่งกลายมาเป็นอีกหนึ่งกระแสดนตรีหลักของโลกไปแล้ว ความสำเร็จของ BLACKPINK และวงเค-พอปหลาย ๆ วงในระดับประเทศและระดับโลก ล้วนมีรากฐานมาจากการฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งแน่นอนว่าสารคดีเรื่องนี้ก็เล่าเรื่องนี้ในแง่มุมของการฝึกฝนนระดับที่เรียกว่า “โคตรหนัก” ด้วย อย่างเช่นตอนที่เจนนี่เล่าถึงเพื่อน ๆ ที่ฝึกมาด้วยกันกับเธอต่างถอดใจ เลิกฝึกออกไปจนหมดจนเหลือแต่เธอเพียงคนเดียว รวมถึงการมาถึงของลิซ่า ที่เจนนี่มองว่า ลิซ่าเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้จริง ๆ และรวมถึงเรื่องของการต้องจากบ้าน จากพ่อแม่ จากครอบครัวมาตามความฝันแต่เพียงลำพัง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้สะท้อนภาพรวมของวงการ K-POP ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
อีกจุดที่ผมชอบมาก ๆ คือซีนสุดท้ายที่หลังจากพวกเธอออกทัวร์คอนเสิร์ตจบ ซีนสุดท้ายนั้น เราจะได้เห็นพวกเธอในภาพที่เรียบง่าย นั่งกินข้าวในร้านอาหารเล็ก ๆ ที่พวกเธอเองก็เคยมากินแล้วตอนที่เป็นเด็กฝึก ระหว่างที่กินกันไป พวกเธอก็พูดคุยสนทนาถึงเรื่องอนาคตกันว่า เมื่อพวกเธอไม่ได้เป็นศิลปินในฐานะ BLACKPINK แล้ว พวกเธอจะมีชีวิตแบบไหนกัน ซึ่งนี่ถือว่าเป็นซีนปิดที่เรียบง่าย แต่โคตรทรงพลังครับ
เพราะเราที่ติดตามพวกเธอมาโดยตลอด คงแทบไม่เคยนึกถึงเลยว่า พวกเธอหลังจากที่ไม่ได้เป็น BLACKPINK แล้ว ชีวิตของพวกเธอหลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร เพราะยังไงพวกเธอก็คงเป็น BLACKPINK ตลอดไปไม่ได้ แต่เราก็ได้เห็นพวกเธอในมุมที่เรียบง่าย และพูดคุยกันเรื่องนี้ในแบบที่ไม่เศร้าด้วย ออกจะเฮฮากันด้วยซ้ำ (แต่ผมดูแล้วทำไมดันน้ำตาไหลเฉย 555) นี่ถือว่าเป็นซีนปิดที่สมบูรณ์แบบในความเป็น BLACKPINK มาก ๆ เลยครับ
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ ก็เลยทำให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้กลายเป็นสารคดีที่ดูได้แบบเพลิน ๆ เพลินชนิดที่ว่าไม่อยากให้จบภายในเวลาชั่วโมงนิด ๆ แบบนี้เลยด้วยซ้ำ ยิ่งดูแล้วก็ยิ่งอยากดูอีกเรื่อย ๆ เป็นสารคดีที่ BLINK หรือแฟนคลับของ BLACKPINK ควรดูเป็นภาคบังคับ และสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนคลับ เชื่อว่าดูแล้วต้องรู้สึก “โดนตก” กันบ้างแหละ ก็พวกเธอทั้งน่ารัก เก่งกาจ เป็นธรรมชาติ และทุ่มเทซะขนาดนี้
ก็ไม่แปลกครับ ที่วันนี้เธอไม่ได้เป็นแค่ “BLACKPINK IN YOUR AREA” แต่วันนี้พวกเธอ “BLACKPINK IN ALL AREA!” ไปแล้วต่างหาก !!!
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส