Release Date
29/10/2020
The Craft Legacy วัยร้ายร่ายเวทย์ / ค่าย Sony Picture / ความยาว 94 นาที
ผู้กำกับ : โซอี้ ลิสเตอร์-โจนส์ นักแสดง : มิเชล โมนาฮาน เคลี สแปนี เดวิด ดูคอฟนี
Our score
4.5[รีวิว] The Craft Legacy วัยร้ายร่ายเวทย์ – สี่แหววพลังเฟมินิสต์ ผูกปมดีแต่สะดุดขาตัวเอง
จุดเด่น
- บทหนังพยายามดึงประเด็นความไม่เท่าเทียมทางเพศมาเป็นแนวทางในการดำเนินเรื่องซึ่งทำได้น่าสนใจในหลายจุด
จุดสังเกต
- บทหนังมีช่องโหว่เยอะ ใส่ปมเยอะแต่คลายปมได้ไม่เคลียร์ซักปม
- ตัวละครถูกนำเสนออย่างแข็งทื่อ และการแสดงก็เถรตรงไม่มีมิติใด ๆ เลยสักตัว
- ความสัมพันธ์ของสี่แม่มด และ ที่มาของพลังไม่มีที่มาที่ไปหรือสร้างผลกระทบชัดเจนเหมือนหนังภาคแรก
- ฉากไลฟ์โค๊ชของเดวิด ดูคอฟนี จะกลายเป็นซีนอัปยศส่งให้เขามีโอกาสได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดแย่ปีหน้า
-
ความสมเหตุสมผลของบทภาพยนตร์
4.5
-
คุณภาพงานสร้าง
6.0
-
คุณภาพนักแสดง
4.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
4.0
-
ความคุ้มค่าบัตรชมภาพยนตร์
4.0
ย้อนกลับไป 24 ปีก่อนฮอลลีวูดดูจะหมกมุ่นกับหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ทุ่มทุนสร้าง เอฟเฟกต์ตระการตาและที่สำคัญคือเป็นปีที่มีหนังพลอตสร้างสรรค์หาแนวทางแปลกใหม่ตั้งแต่หนังไซไฟเอเลียนบุกโลกอย่าง The Independence Day ที่คนไทยรู้จักในนาม ID4 สงครามวันด้บโลกหรือปฐมบทหนังสปายขี้โม้อย่าง Mission Impossible ซึ่งในปี 1996 ก็มีหนังหลายเรื่องที่เป็นต้นธารของแฟรนไชส์หนังในปัจจุบัน
รวมถึง The Craft หรือชื่อไทยสี่แหววพลังแม่มดที่เอาพลอตหนังวัยรุ่นไฮสคูลมาผสมเรื่องลี้ลับเวทย์มนตร์จนได้เป็นหนังสยองขวัญแสดงนำโดย เนฟ แคมป์เบล ที่ได้ตำแหน่งราชินีหนังหวีดทันทีหลัง Scream ภาคแรกฉายปีเดียวกัน และหลัง 24 ปีผ่านไปไวเหมือนมีใครร่ายเวทย์ The Craft Legacy ภายใต้ยี่ห้อ Blum House ก็ได้ฤกษ์มาฉายในชื่อไทยที่ตัดอะไรแหวว ๆ ออกและตั้งชื่อเกร๋ ๆ ว่า วัยร้ายร่ายเวทย์
โดยหนังจะเริ่มเรื่องที่ ลิลลี (เคลี สแปนี) ที่ต้องย้ายตาม เฮเลน (มิเชล โมนาแฮน) คุณแม่จิตแพทย์มายังบ้านของ อดัม (เดวิด ดูคอฟนี) ไลฟ์โค้ชคนรักใหม่ของแม่และพ่อของ 3 หนุ่มที่ดูเป็นปฏิปักษ์กับเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอ และหลังจากต้องอับอายในห้องเรียนจากทิมมี (นิโคลาส แกลิตซีน)พี่ชายจอมเกเรในครอบครัวใหม่ของเธอ ลิลลีก็ได้พบมิตรภาพจาก 3 สาว ลอร์เดส (โซอี้ ลูน่า) แท็บบี (โลวี ซีโมน) และแฟรงกี (กิเดียน แอดลอน) และชวนลิลลีเป็นสมาชิกคนที่ 4 ของกลุ่มแม่มดของพวกเธอ
และหลังจากลิ้มรสอำนาจของมนตราทั้งเปลี่ยนนิสัย ทิมมี (นิโคลาส แกลิตซีน) พี่ชายบุญธรรมจอมเกเร หรือแม้กระทั่งสั่งสอนเพื่อนที่ชอบบูลลี พวกเธอก็หลงใช้มนตราจนกระทั่งมีคนที่ถึงแก่ชีวิตเพราะมนตร์ของพวกเธอ 4 แม่มดสาวจำต้องหาทางหยุดผลกระทบที่พวกเธอก่อขึ้นรวมถึงต้องสืบหาความจริงเบื้องหลังเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ ก่อนจะสายเกินไป
ก่อนจะพูดถึงหนังภาคนี้ขอย้อนกลับไปที่หนังภาคแรกอย่าง The Craft ที่เล่าเรื่องโดยเอาปัญหาวัยรุ่ยในไฮสคูลมาเป็นปมทั้งการถูกผู้ชายเท รู้สึกต่ำต้อยในสังคม การถูกบูลลีหรือถูกมองเป็นตัวประหลาดเป็นปมให้ทั้ง 4 สาว ซาราห์ บอนนี แนนซี โรเชล ลุกขึ้นมาใช้ เวทมนตร์เป็นตัวต่อกรและสร้างตัวตนใหม่ทดแทนความต่ำต้อยในฐานะนักเรียนนอกคอกในโรงเรียนคาธอลิกที่เหมือน ปีเตอร์ ฟิลลาร์ดี เขียนขึ้นเพื่อวิพากษ์ปัญหาในสังคมไฮสคูลจนหนังโด่งดังและถูกอ้างอิงในวัฒนธรรมพอปเวลาต่อมา
สำหรับ The Craft Legacy ภาคต่อที่ไม่มีใครสนใจว่าสร้างเมื่อไหร่และข้อมูลใน IMDB ก็มีน้อยจนผิดวิสัยหนังฮอลลีวูด (ข้อมูลเทคนิกยังไม่บอกเลยว่าใช้กล้องหรือเลนส์อะไรถ่าย) และการรับรู้ของผู้ชมชาวไทยทั่วไปคือการเห็นตัวอย่างหนังในช่วงไม่เกิน 1 เดือนก่อนลงโรงฉายพร้อมพะยี่ห้อ Blum House สตูดิโอหนังสยองขวัญที่กำลังขึ้นมือกับการหยิบจับอะไรก็ฮิตและได้รับคำชม (ปนโดนด่าบ้างเล็กน้อย) มาเป็นหนังหน้าไฟ เอ้ย หน้าเสื่อการันตีนำเสนอหนังภาคต่อเรื่องนี้
สิ่งที่เห็นชัดเจนในบทใหม่ของ โซอี ลิสเตอร์ โจนส์ ผู้กำกับหญิงที่มาจากสายการแสดงคือการพยายามพูดถึงการเมืองเรื่องเพศเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งข้อดีเลยคือบทหนังพยายามพา The Craft มาสู่การวิพากษ์ปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางเพศ โดยแทรกมันทั้งสังคมปิตาธิปไตยในบ้านของอดัม พ่อใหม่จอมเฮียบ ทิมมี พี่ชายสุดเกเรที่บ่อนทำลายความมั่นใจในวัยสาวด้วยการล้อเรื่องประจำเดือน ถ้ายังชัดไม่พอบทยังให้อาชีพของอดัมเป็นนักเขียนหนังสือขายดีที่พูดถึงอำนาจของเพศชายจนได้เป็นไลฟ์โค้ช “ปลุกความเป็นชายในตัวคุณ” จนเราแทบไม่ต้องตีความอะไรอีกแล้ว
แต่ปัญหาหลักคือบทหนังที่เหมือนไม่ได้คำนวนเอาไว้ว่าตัวเองมีกรอบเวลาในการเล่าเรื่องเท่าไหร่เลยทำให้หนังพลาดที่จะอธิบายประเด็นสำคัญโดยเฉพาะคำต่อท้ายชื่อหนังอย่าง Legacy หรือ มรดกที่เป็นหัวใจของเรื่องทั้งเรื่องราวในบ้านของอดัมที่จะช่วยอธิบายถึงความผิดปกติและไม่น่าไว้วางใจของผู้ชายคนนี้ที่คลั่งเรื่องระเบียบวินัยจนผิดมนุษย์ หรือตราประจำตระกูลที่โผล่มาท้ายเรื่องแล้วก็แทบไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ไปจนถึงปมใหญ่ยักษ์มากคือที่มาของพลังที่ทำให้ ลิลลี สามารถร่ายมนตร์และมีอำนาจต่อกรกับผู้ชายตัวใหญ่ ๆ ได้ก่อนจะรวมกลุ่มกับ 3 สาวที่เหลือ
และพอต้องอธิบาย โซอี ลิสเตอร์ โจนส์ ก็ดันลนลานกับการเล่าเรื่องจนเละเทะไปหมด เราเลยได้เห็นฉากฮา ๆ อย่าง เดวิด ดูคอฟนี ในบท อดัม กำลังไลฟ์โค้ชเหล่าชายชาตรีได้อย่างทื่อและเถรตรงจนน่าจะได้รับ “เกลียด” ให้ชิงแรซซีอวอร์ดปีหน้า หรืออยู่ดี ๆ ลิลลี ก็ต้องไปพบความจริงสุดช็อก(มั้ยนะ ?) ในตอนท้ายเรื่องเพื่อแถให้มันเกี่ยวกับหนังภาคแรก (ซึ่งตัวอย่างหนังแอบสปอยล์ไปแล้วด้วย)
มิหนำซ้ำดูจบแล้วเราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่า ตัวนำทั้ง ลิลลี ลอร์เดส แฟรงกี และ แท็บบี เป็นใครมีปมปัญหาอะไรบ้างตลอดจนความสัมพันธ์ที่หนังไม่ปูอะไรเลยนอกจากฉากร่ายเวทมนตร์ร่วมกัน ส่วนการรีเมกฉากที่อ้างอิงจากหนังภาคแรกที่เป็นการร่วมกันร่ายมนตร์แล้วเพื่อนลอยตัวได้หนังก็นำเสนอแบบผ่าน ๆ จนเหมือนไม่สำคัญ
ผลลัพธ์เลยกลายเป็นเราดูหนังที่พลอตอีรุงตุงนังแต่อธิบายอะไรไม่เคลียร์ซักอย่าง บทคิดจะยัดอะไรก็ใส่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนน่าเสียดายปมร่วมสมัยที่บทพยายามบอกเล่ารวมถึงการแสดงที่เหมือนนักแสดงทุกคนดูเป็นหุ่นเชิดไม่น่าจดจำและดูแข็งทื่อไปหมด ทั้งที่ืทำดี ๆ มันอาจพาหนังไปสู่การวิพากษ์อำนาจของเพศชายและการเมืองเรื่องเพศเหมือนที่มันตั้งใจไว้ สุดท้ายมันเลยกลายเป็นหนังภาคต่อคุณภาพลงสตรีมมิงที่ดันได้ฉายโรงเพราะขาดหนังฮอลลีวูดที่หนีตายไปฉายปีหน้ากันหมดแทน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส