Dangerous Minds หนึ่งในหนังที่โดดเด่นในยุค 90s ควรค่าแก่การจดจำและหยิบมาดูซ้ำเพราะเป็นหนังที่เพียบพร้อมทั้งความบันเทิงและให้สาระข้อคิดมากมาย ไม่ใช่หนังที่ดูจบแล้วผ่าน ๆ ไป หนังออกฉายในปี 1995 ในบ้านเราตั้งชื่อไทยให้ว่า ใจอันตราย วัยบริสุทธิ์ หนังดัดแปลงมาจากนิยายขายดีเรื่อง My Posse Don’t Do Homework ของ ลูแอน จอห์นสัน อดีตนาวิกโยธิน ที่หันมาเป็นคุณครู เธอถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญตอนหนึ่งในชีวิตตัวเองออกมาเป็นหนังสือในปี 1992
หลังจากนั้น 3 ปี หนังสือของเธอก็กลายมาเป็นหนังเรื่องดัง และได้ มิเชล ไฟเฟอร์ ในวัย 37 ปีที่ยังสวยเป๊ะอยู่ มารับบทเป็นตัวลูแอน จอห์นสัน คุณครูคนใหม่ในโรงเรียนรัฐฯ ที่ได้รับมอบหมายในสอนนักเรียนมัธยมในห้องที่ได้รับการร่ำลือว่าเต็มไปด้วยเด็กเกเรที่สุดในโรงเรียน วันแรกทำเอาเธอเกือบถอดใจ แต่เธอก็ไปรวบรวมสติตั้งรับแล้วกลับมาลองด้วยวิธีการสอนใหม่ ๆ บวกกับเทคนิควิธีการดึงดูดความสนใจเด็ก ๆ ที่ได้ผล สุดท้ายเธอสามารถเอาชนะใจนักเรียนทุกคนในห้องได้ ด้วยการสอนที่ทุ่มเทใจให้หมดไม่ใช่แค่ครูคนหนึ่งที่สอนแลกเงินเดือนไปวัน ๆ ลูแอนรักและเอาใจใส่ลูกศิษย์ทุกคนราวกับเป็นลูกของเธอ ซึ่งทำให้นักเรียนของเธอสัมผัสได้ถึงความจริงใจนั้น
แม้ว่าหนังจะทำได้ซาบซึ้ง ได้ใจคนดูในวงกว้าง แต่หนังกลับไม่ถูกใจบรรดานักวิจารณ์ เลยไม่ได้ย่างกรายไปบนเวทีใหญ่ในช่วงปลายปี แต่กลับประสบความสำเร็จมากทางด้านรายได้ จากทุนสร้างแค่ 23 ล้านเหรียญ เพราะหนังใช้นักแสดงโนเนมล้วน ๆ แต่ทำรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 179 ล้านเหรียญ ทำเอาผู้อำนวยการสร้างยิ้มแก้มปริ Dangerous Minds ยังถูกจดจำในฐานะหนังของ เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ และ ดอน ซิมป์สัน ที่เป็นหนึ่งในหนังน้อยเรื่องที่ไม่ได้มาในแนวแอ็กชันระเบิดภูเขาเผากระท่อมแล้วประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้
ทั้งคู่ก็ยึดสำนวน น้ำขึ้นให้รีบตัก พอหนังประสบความสำเร็จก็รีบตักตวงด้วยการดัดแปลง Dangerous Minds เป็นทีวีซีรีส์ในปีถัดมา ให้ แอนนี่ พอตต์ มารับบทนำ ทีวีซีรีส์ออกมาเพียงแค่ซีซันเดียวจบ มีความยาว 17 ตอน อีกจุดสำคัญจากหนัง ที่จะต้องเอ่ยถึงก็คือเพลงซาวด์แทร็กจากหนัง Gangsta’s Paradise ของ Coolio ที่โด่งดังเป็นพลุแตกในวันนั้น แม้หนังจะไม่ได้รางวัลใหญ่ แต่เพลงนี้คว้ารางวัลแกรมมี่สาขา best Rap Solo Performance ในปี 1995 และขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในเพลงอมตะจากยุค 90s
วันนี้ Dangerous Minds มีอายุครบ 25 ปีแล้ว เพื่อระลึกถึงหนังอมตะเรื่องนี้ ผู้เขียนขอหยิบยกเกร็ดที่น่าสนใจมาฝากกันครับ เผื่ออ่านแล้วจะนึกอยากหาหนังมาเปิดดูระลึกถึงความทรงจำในอดีตกันอีกสักรอบ
1.บรรดานักแสดงที่มารับบทเป็นลูกศิษย์ในห้องของ ลูแอน จอห์นสัน นั้น ล้วนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ทั้งสิ้น ไม่เคยมีประสบการณ์งานแสดงกันมาก่อน แต่ใครที่ได้ดูหนัง ต่างก็ต้องชื่นชมเหมือนกันว่าทุกคนทำหน้าที่ได้อย่างกับมืออาชีพ สามารถเรียกน้ำตาผู้ชมได้จริงจัง
2.เรโลนี ซานติเอโก นักแสดงชาวเปอโตริกัน ผู้รับบทเป็น ราอูล ลูกศิษย์คนโปรดของคุณครูลูแอน เขาผู้นี้ก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ แต่ด้วยฝีมือที่ฝากไว้ในใจผู้ชมจากเรื่องนี้ ทำให้เขาก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว จบจากผลงานเรื่องนี้ เรโลนีก็มีงานแสดงต่อเนื่อง ผลงานเด่น ๆ ก็อย่างเช่น Daylight (1996), Con Air (1997) และทุกวันนี้เขาก็ยังมีผลงานแสดงต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นทีวีซีรีส์
3.คูลิโอ ศิลปินเจ้าของเพลงฮิต Gangsta’s Paradise ให้สัมภาษณ์กับ Yahoo ว่า ด้วยรสนิยมส่วนตัวของเขาไม่ชอบหนังครู-นักเรียน แบบ Dagerous Minds เท่าใดนัก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมรับว่าทั้งหนังและเพลงของเขาต่างจำเป็นต้องพึ่งกันและกันเพื่อความสำเร็จ
4.แล้ว มิเชล ไฟเฟอร์ ก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้จริง ๆ ที่ว่าทั้งหนังและเพลงต่างต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อผลตอบรับทางด้านการตลาด มิเชล ไฟเฟอร์ เรื่อยไปร่วมแสดงในมิวสิกวิดีโอเพลง Gangsta’s Paradise ด้วย สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับ Coolio อย่างมาก ที่นักแสดงชื่อดังยอมมาปรากฏตัวในมิวสิกวิดีโอของเขา
5.แม้ว่า ลูแอน จอห์นสัน จะอ้างอิงถึงประวัติของเธอว่าเคยเป็นอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ มาก่อน แต่เธอก็ให้สัมภาษณ์ว่าช่วงเวลาที่เธอเป็นนาวิกโยธินนั้น เธอไม่ได้มีความสุขเลย ตรงกันข้ามกับเป็นความทรงจำที่เลวร้ายมากกว่า เพราะเธอทั้งถูกข่มขืนและถูกทำร้ายร่างกาย
6.เพื่อเตรียมพร้อมในการสวมบทบาทเป็น ลูแอน จอห์นสัน นั้น มิเชล ไฟเฟอร์ ทำการบ้านด้วยการไปนั่งอยู่ในห้องเรียนของเธอด้วย มิเชล พยายามทำตัวไม่ให้เป็นที่สนใจ เธอสวมแจ็กเก็ตสีดำ ไม่แต่งหน้า แล้วไปนั่งเงียบ ๆ อยู่หลังห้องเรียน แน่นอนล่ะ เมื่อมีคนแปลกหน้ามานั่งอยู่ในห้องเรียนก็ย่อมตกเป็นที่สนใจของบรรดานักเรียน ก็เลยมีนักเรียนคนหนึ่งถามคุณครูลูแอนว่านั่นใช่ Catwoman หรือไม่ (มิเชลเพิ่งรับบทเป็น Catwoman ในหนัง Batman Return ปี 1992) ลูแอนตอบนักเรียนไปว่า “ใช่” นักเรียนก็เลยถามกลับด้วยสีหน้าฉงนว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอไม่เห็นสวยเหมือนในหนังเลย”
7.ไม่เพียงแค่เพลง Gangsta’s Paradise จะโด่งดังแค่เพลงเดียวเท่านั้น ความสำเร็จของเพลงยังพาให้อัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ได้รางวัล Platinum ไปถึง 3 ครั้ง นั่นหมายถึงว่าอัลบั้มทำยอดขายได้ถึง 3 ล้านก๊อปปี้ และขึ้นถึงอันดับที่ 1 ในตาราง U.S. Billboard 200
8.เอโบนี เจริโด นักแสดงสมทบผิวดำผู้รับบทเป็น ดีน เธอมีความสนใจในงานเขียน ทำให้เธอยังคงสานสัมพันธ์กับ ลูแอน จอห์นสัน มาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเธอได้กลายเป็นนักเขียนมืออาชีพที่พำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ก
9.ตัว ลูแอน จอห์นสัน นั้น เธอมีอดีตความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็ก สืบเนื่องจากพ่อของเธอที่ไม่ได้เรียนหนังสือ และไม่เห็นชอบกับการที่ลูกสาวมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียน นั่นคือสาเหตุที่เธอถูกบังคับให้สมัครเข้าเป็น นาวิกโยธิน
10.ลูแอน เล่าว่าหลังจากหนังออกฉายไป เธอได้รับผลตอบรับในทางบวกอย่างมาก เสียงตอบรับส่วนหนึ่งมาในรูปแบบจดหมายที่เขียนมาหาเธอ เป็นจดหมายจากนักเรียนหลาย ๆ คน ที่วันนี้ได้กลายมาเป็นคุณครูเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง ทำให้พวกเขาอยากเป็นคุณครู ที่ตั้งใจสอนนักเรียนด้วยความรู้สึกสื่อตรงจากหัวใจ สอนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าพวกเค้าจะสอนได้ดี ได้ถูกต้องตามหลักการหรือไม่
ยังมีอีก 13 เกร็ดน่าสนใจในหน้า 2 ครับ
11.ลูแอน จอห์นสัน เจ้าของบทประพันธ์ถูกจำกัดสิทธิ์ให้เข้ามาเยี่ยมชมกองถ่ายได้แค่ 1-2 วันเท่านั้น แล้วยังถูกห้ามไม่ให้พูดคุยกับบรรดานักแสดงอีกด้วย เพราะเธอมีเรื่องขัดแย้งกับสตูดิโอที่ดัดแปลงเนื้อหานิยายของเธอในหลาย ๆ จุด
12.มิเชล ไฟเฟอร์ เป็นหนึ่งในนักแสดงเพียงไม่กี่คนที่ได้อ่านนิยายต้นฉบับของ ลูแอน จอห์นสัน แม้แต่ผู้เขียนบทภาพยนตร์ก็มาบอกกับลูแอนว่า เค้าไม่มีเวลามาอ่านหนังสือของเธอหรอก เพราะว่าเขาต้องใช้เวลาในการเขียนบทภาพยนตร์ (ไม่ได้อ่านนิยายต้นฉบับ แล้วดัดแปลงมาเป็นบทภาพยนตร์ได้ไงหว่า)
13.ลูแอน จอห์นสัน เพิ่งได้ลิขสิทธิ์ในนิยายต้นฉบับ My Posse Don’t Do Homework กลับมาเป็นของเธอ ทำเอาลูแอนคิดหนักว่าจะต่อสัญญากับสำนักพิมพ์ดี หรือว่าจะตีพิมพ์เอง ซึ่งอาจจะหมายถึงนิยายภาคต่อของ Dangerous Minds อีกด้วย
14.เวด โดมิงเกซ นักแสดงที่รับบทสำคัญเป็น เอมิลิโอ ลูกศิษย์ที่เป็นแกงสเตอร์ เวดเสียชีวิตในวันที่ 26 สิงหาคม 1998 ด้วยอาการระบบหายใจล้มเหลว เป็นเวลา 3 ปีให้หลังจากหนังออกฉาย
15.ในหนังเราได้เห็นว่า เอมิลิโอ รามิเรซ ถูกแก๊งคู่อริฆ่าตาย นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลงเนื้อหาให้ต่างจากนิยายต้นฉบับ เพื่อให้หนังมีความดราม่ามากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เอมิลิโอ รามิเรซ ที่เป็นลูกศิษย์ของลูแอนตัวจริงนั้น ไม่ได้ถูกฆ่าตาย เขาเรียนหนังสือจบระดับมัธยมปลาย แล้วสมัครเข้าเป็นนาวิกโยธิน ประจำการอยู่ 4 ปี พอปลดออกมาก็ตั้งรกรากอยู่ในแคลิฟอร์เนีย มีความสุขกับภรรยาและลูกสองคน
16.มีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่าง ลูแอน จอห์นสัน และสตูดิโอผู้สร้าง เหตุจากทางสตูดิโออยากจะแต่งเสริมเรื่องราวให้หนังมีความดราม่ามากขึ้น ด้วยการเขียนให้ ลูแอน จอห์นสัน โดนไล่ออกจากโรงเรียนเพราะข้อหาคุกคามทางเพศนักเรียนตัวเอง ถ้าลูแอน จอห์นสัน จะยินยอมก็แปลกล่ะ เพราะเธอเป็นคนเขียนนิยายเอง และเป็นเรื่องราวจากชีวิตจริงของเธอและตัวเอกของเรื่องก็ยังคงใช้ชื่อเสียงเรียงนามจริงของเธอ ถ้าเสริมเติมแต่งเรื่องราวไปแบบนี้ ผู้คนจะมองเธออย่างไร เธอยืนกรานว่าถ้าสตูดิโอดึงดันจะแต่งเรื่องไปแบบนั้น เธอจะฟ้องร้องสตูดิโอ
“ฉันบอกกับพวกเขาไปว่า นี่พวกคุณจะเอาแบบนี้จริง ๆ เหรอ ฉันเป็นครูที่มีใบอนุญาตถูกต้องนะ มันอาจทำให้ฉันโดนเพิกถอนใบอนุญาตได้นะแบบี้ คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้ และที่สำคัญมันไม่ใช่เรื่องจริง”
ลูแอน ยืนกรานกับทางสตูดิโอ แต่ทางสตูดิโอก็ให้เหตุผลว่าพวกเขาทราบดี แต่ที่เสนอไอเดียนี้เพราะว่ามันทำให้เรื่องราวของหนังดูน่าตื่นเต้น
ทำให้ลูแอนโต้กลับไปอีกว่า
“พวกคุณยังไม่เข้าใจอยู่ดี พวกคุณกำลังทำลายชื่อเสียงฉันป่นปี้ เพราะถ้าเขียนเรื่องออกไปแบบนี้ ผู้คนจะเข้าใจว่าฉันทำเรื่องแบบนี้ไปจริง ๆ”
พอลูแอนต่อต้านจริงจัง ก็เป็นฝ่ายสตูดิโอที่ยอมถอยให้ และยอมตัดฉากดังกล่าวที่ถ่ายทำไปแล้วด้วยออกไป และฉากที่ว่านี้ก็มี แอนดี้ การ์เซีย มาร่วมแสดงด้วย แต่ไม่มีใครได้ดู
17.ลูแอน จอห์นสัน รับเงินค่าเรื่องมาแค่ 125,000 เหรียญ (ประมาณ 3.1 ล้านบาท) หลังจากหนังทำรายได้ไปถึง 180 ล้านเหรียญ เธอก็ได้โบนัสเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ก็นับว่าน้อยมากสำหรับเจ้าของนิยายต้นฉบับ เหตุนี้เพราะทนายของเธอทำงานผิดพลาดในขั้นตอนการทำสัญญากับสตูดิโอ ที่ยอมรับข้อเสนอมาว่า เธอจะได้ส่วนแบ่ง 2% จากผลกำไรของหนัง แต่ก็เหมือนเล่ห์เหลี่ยมของสตูดิโอผู้สร้าง ที่ไม่เคยสรุปผลกำไรออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ทำให้เธอได้บทเรียนว่าการทำสัญญากับสตูดิโอ ต้องไม่ระบุว่ายอมรับส่วนแบ่งจากผลกำไร แต่ให้ขอส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่าจากยอดรายได้จากหนังไปเลย
18.ปี 1996 สตูดิโอดัดแปลง Dagerous Minds เป็นทีวีซีรีส์ 17 ตอนจบ และเป็นอีกครั้งที่สตูดิโอพยามยามจะใส่เรื่องราวที่ ลูแอน จอห์นสัน คุกคามทางเพศลูกศิษย์ลงไปอีก ทำให้เธอต้องมีปากเสียงกับทีมงานอีกครั้งให้ถอดออกไปในที่สุด
19.ช่วงที่กำลังถ่ายทำอยู่นั้น มิเชลล์ ไฟเฟอร์ เธอกำลังตั้งครรภ์อ่อน ๆ อยู่ ช่างถ่ายภาพยนตร์จึงต้องพยายามใช้มุมกล้องช่วยหลบไม่ให้เห็นหน้าท้องของเธอ บางฉากเธอก็ใส่กระโปรงยาวเพื่อปิดบังพุงของเธอที่เริ่มใหญ่ขึ้น
20.Via Rose Production หนึ่งในบริษัทที่ร่วมผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นของ มิเชล ไฟเฟอร์ เอง
21.แม้ผลสุดท้ายหนังจะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ตัวลูแอน จอห์นสัน เองก็ไม่ค่อยพอใจกับตัวหนังเท่าใดนัก เพราะผู้เขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลงเนื้อหาจากนิยายต้นฉบับของเธอไปมากพอควร แต่เธอปลาบปลื้มที่หนังสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมและครูอีกหลาย ๆ คนได้ และการที่นิยายของเธอกลายไปเป็นภาพยนตร์นั้นได้สร้างบทเรียนให้กับเธอเองอย่างมาก
“จากนี้ไป ถ้าเรื่องไหนที่ฉันเขียนจากบันทึกความทรงจำฉันเอง ฉันจะไม่ขายลิขสิทธิ์ให้กับใครอีกแล้ว นอกเสียจากฉันจะได้เป็นผู้อำนวยการสร้างด้วยหรือเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์เองเท่านั้น แต่ถ้าเรื่องไหนเป็นเรื่องแต่ง ฉันจะขายลิขสิทธิ์ไปแล้วไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีกเลย ปล่อยให้พวกเขาพัฒนาบทไปตามหนทางสร้างสรรค์ของพวกเขาเอง เสียดายที่ตอนที่ฉันขายเรื่อง Dangerous Minds ไป ฉันยังไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้”
22.หลังจากที่รู้ว่าทีมงานดัดแปลงเนื้อหาจากนิยายเธอไปมาก ลูแอน จอห์นสัน จึงเข้าไปทักท้วงกับทีมงาน ส่งผลให้สตูดิโอผู้สร้างนำไปโพทะนาว่า ลูแอน จอห์นสัน เป็นนักเขียนที่ทำงานด้วย ยาก”และเธอถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวในกองถ่ายและห้ามพูดคุยกับบรรดานักแสดง ซึ่งลูแอน จอห์นสัน ก็ได้ออกมาอธิบายถึงเหตุผลเรื่องนี้ ว่าเธอทำไปเพราะต้องการปกป้องเนื้อหาความถูกต้องตามนิยายของเธอ ปกป้องตัวละครจากหนังสือของเธอ
23.ผลงานเรื่องสุดท้ายของผู้อำนวยการสร้าง ดอน ซิมป์สัน เขายังได้ช่วยเลือกเพลงประกอบในหนังเรื่องนี้ด้วย