Release Date
12/11/2020
ความยาว
137 นาที
แนวหนัง
สยองขวัญ จิตวิทยา สืบสวนสอบสวน ดราม่า
Our score
8.0[รีวิว] The Empty Man: หลอนลวงหลอก เซอร์ไพรส์หลอกกันตั้งแต่ตัวอย่างหนัง
จุดเด่น
- วิสัยทัศน์การนำเสนอทั้งภาพ เสียง ดีไซน์ต่าง ๆ จัดว่าอลังชวนตะลึกเกินเบอร์หนังผีไปเยอะมาก น่าสนใจสุด ๆ จริง ๆ และถ้าไม่นับว่าหน้าหนังหลอกจนหน้าหงาย เนื้อหาจริง ๆ ของหนังก็มีปรัชญาให้พูดถึงไม่น้อยทีเดียว
จุดสังเกต
- ใครหวังจะมาดูหนังผีตื่นเต้น ๆ ไม่ซับซ้อน ผีไล่ฆ่าคนสะใจ ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องทิ้งอะไรไว้ในหัวสมอง... คุณน่าจะผิดหวังพอควรล่ะ แต่ถ้าเปิดใจรับหนังแนวล้ำ ๆ ได้สักหน่อย จุดอ่อนก็เป็นจุดแข็งของหนังได้เหมือนกัน
-
บท
8.0
-
โพรดักชัน
9.5
-
การแสดง
8.0
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.0
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ ที่เมืองเล็ก ๆ อย่างมิดเวสเทิร์น เริ่มมีข่าวการหายตัวไปอย่างลึกลับของกลุ่มวัยรุ่น ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่าการหายตัวนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนาน Empty Man ที่เล่าขานกันมาตั้งแต่อดีต เจมส์ ตำรวจวัยเกษียณจึงพยายามสืบหาข้อพิสูจน์เพื่อจะอธิบายเหตุการณ์การหายตัวนี้ ซึ่งทำให้เขาได้พบกับกลุ่มลัทธิและเข้าไปพัวพันกับสิ่งลี้ลับ ต่อมาในไม่ช้า ชีวิตของเขารวมถึงผู้คนรอบตัวเขาก็ต่างตกอยู่ในอันตรายที่ไม่อาจคาดถึง
ไม่ค่อยได้เห็นหนังผีหรืออย่างน้อยก็หนังสยองขวัญ ที่อิงมาจากคอมิกหรือกราฟิกโนเวลนัก เมื่อทราบว่า The Empty Man ได้นำมาจากกราฟิกโนเวลผลงานของ คัลเลน บันน์ จากค่าย Boom! Studios ก็รู้สึกหนังมีความน่าสนใจขึ้นมาทันที
ยิ่งเมื่อได้ดูตัวอย่างหนังก็เกิดความคาดหวังไปทางหนึ่งว่านี่น่าจะเป็นหนังแนวผีตามสูตรนิยมอีกเรื่อง ที่มีความเชื่อล่องลอยเป็นตำนานเมืองอยู่ว่าหากเจอขวดเปล่ากลางสะพาน ให้นำมาเป่าปากขวดให้เกิดเสียง แล้วคิดถึงเอ็มป์ตีแมน หลังจากนั้นคืนแรกจะได้ยินเสียงเอ็มป์ตีแมน คืนต่อมาจะได้เห็นเอ็มป์ตีแมน และคืนสุดท้ายเอ็มป์ตีแมนจะมาคร่าชีวิตผู้ที่ท้าทายนั้น ทว่านั่นเป็นเพียงส่วนเสี้ยวมาก ๆ ของเนื้อหาจริง ๆ ที่ The Empty Man เสิร์ฟให้ผู้ชม จนอาจพูดได้ว่านี่เป็นเซอร์ไพรส์แบบผิดฝาผิดตัวแต่ดันรู้สึกดีไปอีกแบบเหมือนกัน
จริงแล้วเนื้อหาหลักของหนังเกี่ยวกับอะไร? แม้ต้นเรื่องของหนังจะจั่วหัวด้วยเรื่องเล่าขนาดสั้นของชายหญิง 4 คนที่ไปปีนเขาในภูฏานและหนึ่งในนั้นก็ตกในโพรงลึกและพานพบกับซากคล้ายมนุษย์ที่แปลกประหลาด หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวก็เกิดอาการประหลาดเหม่อลอยไร้สติ พร่ำพูดแต่ทุกคนจะตาย ปรากฏว่าหลังจากนั้นสมาชิกคนอื่่น ๆ ของกรุ๊ปก็เริ่มเจอประสบการณ์ชวนผวาตลอด 3 คืนบนภูเขาสูงไร้ผู้คน.. ต้องบอกว่าเป็นหนังสั้นจั่วหัวที่ได้อารมณ์หลอนสุด ๆ ทั้งยังความงงงวยสงสัยได้ดีเยี่ยม
จากนั้นหนังก็ข้ามเวลามาอีก 23 ปีถัดมา และเริ่มเรื่องราวของ อแมนดา (ซาชา โฟรโลวา) หัวโจกสาววัยรุ่นที่พาเพื่อนมาท้าทายตำนานของเอ็มป์ตีแมน และจากนั้นไม่นานตัวเธอก็หายไป ร้อนถึงแม่ของเธอต้องวานให้เพื่อนชายคนสนิทอย่าง เจมส์ (เจมส์ แบดจ์ เดล) อดีตตำรวจที่สูญเสียภรรยาและลูกไปในอุบัติเหตุ ช่วยออกตามหาอแมนดา และยิ่งเจมส์ได้สืบถามเพื่อน ๆ ของเธอก็ยิ่งพบว่าเด็กทั้งกลุ่มที่ไปพิสูจน์ความเชื่อต่างหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา และหนังหลังจากนั้นก็แทบเรียกว่าเป็นหนังสืบสวนที่มีกลิ่นความเชื่อ ลัทธิประหลาด ความสยองขวัญสไตล์ของเลิฟคราฟต์คอยโอบคลุมไว้ ยิ่งมองลึกลงไปก็ยิ่งเต็มไปด้วยความน่าสงสัยน่าติดตามมากขึ้นเท่านั้น
และนี่คือความเซอร์ไพรส์แรก ที่ตัวอย่างหนังหลอกเราเต็ม ๆ ว่าเป็นหนังผีวัยรุ่นตามสูตรนิยมทั่วไป
เซอร์ไพรส์ต่อมาคือปรัชญาที่รองรับการมีอยู่ของเอ็มป์ตีแมนไม่ได้เป็นตำนานเมืองหลอน ๆ ไปเรื่อยแบบหนังผีดาด ๆ เท่านั้น หากแต่อิงไปยันหลักพุทธที่ดัดแปลงเรื่องสมาธิ จิตวิญญาณ ให้เพี้ยนไปผสานเป็นความโกลาหลและวันโลกสลาย (ช่วงหนึ่งหนังถึงขนาดอธิบายปรัชญาราวว่าเอ็มป์ตีแมนคืออนัตตา คือนิพพานได้เช่นนั้นทีเดียว) เหตุนี้ในพาร์ตที่หนังพาพระเอกลงไปแตะลัทธิประหลาดที่นับถือเอ็มป์ตีแมน และพร่ำปรัชญาเพื่อให้ผู้ชมช่วยสืบสาวความจริงว่าเอ็มป์ตีแมนคืออะไรและจะรับมืออย่างไร กลับยิ่งสร้างความฉงนหนักลงไปอีก ใครหวังมาดูหนังผีสะดุ้งอารมณ์คงมีอึ้งไปแทน
เซอร์ไพรส์สุดท้ายคือวิสัยทัศน์การนำเสนอของผู้กำกับ เดวิด ไพรออร์ ที่แม้จะไม่มีผลงานหนังใหญ่มาก่อน แต่ลีลาการนำเสนอ ทั้งงานภาพ งานเสียงประกอบ งานศิลป์ งานดีไซน์ทั้งหลาย จัดว่าสร้างช็อตสร้างซีนอัศจรรย์ได้อย่างน่าสนใจ หลายครั้งภาษาหนังเหยียบความเป็นหนังอาร์ตอย่างมากเสียด้วย แม้แต่ช็อตธรรมดา ๆ อย่างการเสิร์ชค้นหน้าจอคอม ก็ยังพิถันพิถันคิดต่อไปไม่ให้ธรรมดาด้วยการใช้เลนส์กว้างที่บิดจอให้โค้งแปลกตา เป็นต้น
ยิ่งไม่ต้องนับว่าฉากขายจะพรึงเพริดขนาดไหน เช่นฉากชุมนุมรอบกองไฟ ที่จบด้วยการไล่ล่ากลางป่าผสานไปกับแสงฟ้าแล่บแบบแปลกตา สวยงามชวนระทึกสุด ๆ เมื่อผสมด้วยเสียงประกอบแบบไซไฟสยองขวัญด้วยแล้ว ต้องบอกย้ำว่าน่าสนใจศึกษาไม่น้อยทีเดียว ถ้าเรื่องหน้าไพรออร์มีโอกาสจับเนื้อหาที่เข้าใจง่ายกว่านี้ ก็น่าสนใจมากทีเดียว เพราะวิสัยทัศน์ของเขาการันตีจากหนังเรื่องนี้แล้วว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ
ข้อติงของหนังที่พอจะนึกออกอีกประการนอกจากเรื่องที่ว่าความซับซ้อนเกินหน้าหนังจนแทบตั้งรับไม่ทัน (ซึ่งจริง ๆ น่าจะเป็นความผิดของฝ่ายการตลาดมากกว่า) ก็คือพลอตดราม่าของตัวละครหลักอันเป็นที่มาที่ไปของความผิดบาปในใจตัวละคร ที่ตื้นเขินและเดาง่ายมาก จนเมื่อถึงการขมวดเฉลยทุกเรื่องราว คำเฉลยส่วนนี้ดูเบาบางไม่ชวนน่าตื่นตะลึงอะไรอีกแล้ว แต่ที่เหลือคือโอเคเลย ล้ำมาก ๆ ไฮคอนเซ้ปต์มาก ๆ น่าลองสำหรับคนที่ชอบแนวนี้ปรัชญาไซไฟสยองขวัญกลิ่นแบบเลิฟคราฟต์
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส