Release Date
05/11/2020
She Dies Tomorrow แพร่พันธุ์วันตาย/ค่าย MPictures /ความยาว 86 นาที
ผู้กำกับ : เอมี่ ซีเมตซ์ / นักแสดง : เคท ลิน เชล เจน อดัมส์ เคนทัคเกอร์ ออดลีย์
Our score
6.4[รีวิว] She Dies Tomorrow แพร่พันธุ์วันตาย – มรณานุสติฉบับยากแท้หยั่งถึง
จุดเด่น
- หนังจับคอนเซปต์ปัญหาโรคซึมเศร้ามาทำเป็นหนังได้น่าสนใจ
- นักแสดงแต่ละคนถูกแคสต์มาได้เหมาะเจาะมาก
จุดสังเกต
- การไม่อธิบายหรือเสนอปัจจัยแวดล้อมของตัวละครหลักอย่าง เอมี ทำให้คนดูไม่อาจเอาใจช่วยเธอได้
- หลายซีนในหนังไม่อาจพาคนดูไปสู่ประเด็นที่มันต้องการพูดถึงได้
- การอธิบายเรื่องความตายเหมือนโรคระบาดยังไม่ลึกซึ้งเหมือนที่หนังพยายามจะสื่อสารนัก
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
7.0
-
คุณภาพงานสร้าง
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
7.0
-
สุนทรียะตามแนวหนัง
5.5
-
ความคุ้มค่าบัตรชมภาพยนตร์
5.5
“หนังเรื่องนี้อาจทำให้คุณปลงชีวิตหรือจิตตกกว่าเดิม” คือคำเตือนบนโปสเตอร์หน้ง She Dies Tomorrow พร้อมกำกับชื่อไทยกันงงว่า แพร่พันธุ์วันตาย ซึ่งสารภาพตามตรงว่าเห็นครั้งแรกยังไงก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าหนังจะพูดถึงอะไรจะมาแนวไหนจะมีไวรัสระบาดแล้วคนตายไหมหรือเราจะได้จมจ่อมกับความทุกข์ตัวละครจนจิตตกตามชะตากรรมจนได้เห็นตัวอย่างหนังด้านบนซึ่งก็….ไม่ได้ให้คำตอบข้างต้นอยู่ดีเลยตัดสินใจตีตั๋วเข้าโรงไปตายเอาดาบหน้าแทน
โดยหนังจะให้เราตามติดชีวิตตัวละครที่ชื่อเอมี (เคต ลิน เชล) ที่กำลังจมจ่อมกับความคิดที่ว่าตัวเองกำลังจะตายในวันพรุ่งนี้และคนเดียวที่เธอโทรศัพท์เพื่อขอให้มาเจอเป็นคร้้งสุดท้ายก็คือเจน (เจน อดัมส์) เพื่อนสาวนักพฤกษศาสตร์ แต่หลังจากได้คุยกับเอมี ตัวเจนก็เหมือนคิดแต่เรื่องการตายในวันรุ่งขึ้นและยังเอาความคิดนี้ไปแพร่ให้กับเจสัน (คริส แมสซินา) น้องชายของเธอพร้อมด้วยซูซาน (เคธี อเซลตัน) น้องสะใภ้รวมถึง ทิลลี (เจนนิเฟอร์ คิม) กับ ไบรอัน (ทุนเด อเดบิมเป) คู่รักที่มาร่วมงาน และจากภาพทรงจำที่ย้อนกลับของเอมีและเรื่องราวที่แตกกระจายของแต่ละคนบางทีความตายก็แพร่ระบาดได้ไม่ต่างจากไวรัสเลยทีเดียว
เอาล่ะที่เล่าไปหลายคนอาจคิดว่าสปอยล์ตัวหนังนะครับแต่ขอโทษที..ถ้าไม่เล่าให้ละเอียดขนาดนี้บางทีอาจเล่าได้แค่ว่าเอมีเอาเรื่องตัวเองจะตายไปแพร่ให้คนอื่นแล้วคนอื่นก็อยากตายตาม อันนี้จะดูกำกวมเสียเปล่าดังนั้นสิ่งที่หนังเรื่องนี้ตั้งใจจะเล่าไม่ใช่เรื่องราวการเอาชนะความคิดเรื่องการตาย (ที่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีผลอะไรมาเป็นรูปธรรมเท่าไหร่) แต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่หนังตั้งใจจะบิลต์เราให้สะพรึงและกดดันตามตัวละครมากกว่า
โดยข้อมูลที่ควรทราบคือบทภาพยนตร์ของผู้กำกับหนัง เอมี่ ซีเมตซ์ ไม่ได้เล่าเรื่องราวเป็นเส้นตรงและไม่มีการเฉลยที่มาที่ไปอะไรชัดเจน แต่สิ่งที่วนเวียนเป็นเหมือนมวลของเรื่องคือความคิดเรื่องการตายซึ่งแม้หนังจะไม่เฉลยโดยตรงแต่มันก็พอมองออกว่าการตายที่ว่าคงเป็นการอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตายมากกว่าจะเป็นการตายธรรมชาติแน่ ๆ ซึ่งมันถูกทำให้เป็นเหมือนโรคระบาดที่แพร่ต่อกันได้ผ่านคำพูดง่าย ๆ
ซึ่งหากเดาความคิดผู้กำกับไม่ผิดเหมือนซีเมตซ์จะพยายามสะท้อนภาวะซึมเศร้าที่เหมือนโรคระบาดในปัจจุบันจากทั้งครอบครัวและสังคม แต่แทนที่เธอจะทำสเกลให้มันใหญ่โตระดับโลกเธอก็เลือกให้มันแพร่กระจายในวงสังคมหนึ่งเท่านั้น ซึ่งภาวะหมกมุ่นกับความตายดังกล่าวก็ดันเป็นเรื่องที่เธอไม่พยายามอธิบายหรือให้ปัจจัยแวดล้อมเพิ่มเติมเสียด้วยโดยคนดูจะเห็นเพียงว่าถ้าใครมาพูดพรุ่งนี้ฉันจะตายคนได้ยินก็คือจะคิดเหมือนกันแค่นั้นเอง
และยิ่งคนดูต้องตามติดตัวละคร เอมี ในช่วงแรกอย่างหนักหน่วงหนังก็มีทำให้คนดูเกิดคำถามในใจมากกว่าจะคลายปมอธิบายว่าอะไรทำให้เธอเกิดทุกข์บ้างเพราะทั้งการได้ย้ายไปบ้านหลังใหม่ เพิ่งมีแฟนหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ยิ่งไม่ช่วยให้คนดูรู้จักอะไรเธอเลยและยิ่งพฤติกรรมประหลาด ๆ ทั้งการหาโกศไว้ใส่อัฐิหรือร้านทำเสื้อหนัง (เพราะเธออยากให้ผิวหนังของเธอเมื่อตายไปได้ใช้ประโยชน์) ก็ยิ่งทำให้เราไม่อาจเข้าใจเธอได้เลยอะไรทำให้เธออยากตายมากกว่าแค่เรื่องได้รับเชื้อซึ่งหนังจะเฉลยในช่วงท้ายหรือไม่
และแม้หนังเหมือนจะพยายามอธิบายความรู้สึกของมนุษย์ในมุมอื่นอยู่บ้างเช่นความอึดอัดของซูซานที่มีต่อเจนในคืนงานวันเกิดที่เหมือนจะท้าวความเรื่องการไม่เป็นที่ต้องการของญาติและยังมีเรื่องรักร้าวที่ไบรอันกับทิลลีแอบกินแหนงแคลงใจกันมาจนได้ระเบิดเมื่อได้รับการแพร่ความคิดเรื่องการตายวันพรุ่งนี้มาแล้ว ซึ่งตรงนี้บอกตามตรงว่าถ้าหนังให้น้ำหนักกับการอธิบายที่มาของความทุกข์ของเอมีตัวละครหลักด้วยหนังคงพาคนดูดำดิ่งและอินกับตัวละครได้มากกว่านี้แน่ ๆ แต่พอมันไปอธิบายตัวละครแวดล้อมเสียหมดและปล่อยคนดูงงเต็กกับความคิดของเอมีหนังเลยผลักคนดูออกไปเสียมากกว่า
และโดยที่ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าอยู่ดี ๆ ก็มีนักแสดงสาวห้าวอย่างมิเชล โรดริเกวซจากหนัง FAST ที่โผล่มาแบบไม่มีเหตุผลได้ยังไง ในแง่โทนหนังหลายครั้งก็ไม่รู้ว่ามันจะให้เรารู้สึกกับมันยังไงทั้งงานภาพแสงไฟดิสโก้แดงฟ้าที่แว่บไปแว่บมาให้คนดูแสบตาเล่นหลังจากมีคนได้รับ “เชื้อ” ไปจนถึงฉากฮา ๆ อย่างป้าเจน (เพื่อนเอมีน่ะแหละ) ไปอ่อยหมอแต่หมอขอตัวไปอยู่กับเมียตอนได้รับเชื้อแต่หนังก็ดันเหมือนเอาจริงเอาจังว่านังเจนมันกลัวตายขึ้นสมองซะงั้นจนทำเอาคนดูยิ่งดูยิ่งน้ำในหูไม่เท่ากันไม่รู้ว่าดูไม่รู้เรื่องเองหรือหนังทำมาให้งงกันแน่ ?
มาว่ากันถึงนักแสดงต้องบอกว่าผู้กำกับเหมือนเลือกมาแล้วว่าคนนี้ต้องเล่นเป็นคนนี้โดยไม่ต้องพยายามไปปั้นคาแรกเตอร์มากดังนั้นตัวเอมีที่ได้เคต ลิน ชีลมารับบทนำจึงต้องเน้นหน้าสวยแต่แปลกและดูอมทุกข์ซึ่งเธอก็ประสบความสำเร็จจริง ๆ เพราะแค่เห็นหน้าคนดูก็ทุกข์ตามแล้ว ไปจนถึงเจน อดัมส์ ในบทเจนนักพฤกษศาสตร์ที่มาแพร่เชื้อความตายให้คนอื่นก็ดูไม่น่าคบหาสมาคมด้วยจริง ๆ ส่วนตัวละครอื่น ๆ ดูจบคนดูจะได้แค่ความสัมพันธ์จริง ๆ ว่าคนนี้รู้จักกับคนนั้นแต่ไม่รู้อะไรเพิ่มเติมและดูเป็นส่วนเกินของหนังไปโดยปริยาย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส