[รีวิว]Malevolent : รับตำแหน่งหนังผีที่น่ากลัวน้อยที่สุดแห่งปีไปเลย
Our score
5.0

Release Date

19/11/2020

1h 29min

Horror, Mystery, Thriller

Director: Olaf de Fleur Johannesson

Writers: Ben Ketai, Eva Konstantopoulos

Stars: Florence Pugh, Ben Lloyd-Hughes, Scott Chambers

[รีวิว]Malevolent : รับตำแหน่งหนังผีที่น่ากลัวน้อยที่สุดแห่งปีไปเลย
Our score
5.0

[รีวิว]Malevolent : รับตำแหน่งหนังผีที่น่ากลัวน้อยที่สุดแห่งปีไปเลย

จุดเด่น

  1. พล็อตน่าสนใจมาก แก๊งหลอกจับผี เจอผีจริง
  2. มีวัตถุดิบที่ดีเป็นนิยายขายดี

จุดสังเกต

  1. เป็นหนังผีที่ผีไม่น่ากลัวเอาซะเลย
  2. มีพล็อตที่ดีแต่ขยายเป็นบทได้ไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องราวฆาตกรรมในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เฉลยง่ายไป
  3. หนังสั้นเกิน จนเล่าทุกอย่างได้แค่ผิวเผิน เรื่องญาณพิเศษของแองเจล่าและแม่น่าจะขยายได้อีก
  • ตรรกะความสมบูรณ์ของบทภาพยนตร์

    6.0

  • คุณภาพงานสร้าง

    4.0

  • คุณภาพนักแสดง

    7.0

  • ความบันเทิงตามแนวหนัง

    5.0

  • คุ้มเวลาค่าตั๋ว

    3.0

https://www.youtube.com/watch?v=yGuSO3M3is0&ab_channel=MajorGroup
สนับสนุนเนื้อหาโดย

Malevolent เป็นผลงานสร้างของ Netflix ครับ ปล่อยสตรีมมิงในต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2018 แล้ว แต่ขายสิทธิ์ในบ้านเราให้สหมงคลฟิล์มนำมาฉายในโรงภาพยนตร์ ก็ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใดหนังถึงใช้เวลาตั้ง 2 ปีกว่าจะได้ฤกษ์ฉาย แต่ก็เป็นผลดีทางด้านการตลาดของตัวหนังเอง ที่วันนี้ชื่อของ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ กลายมาเป็นชื่อขายแปะหัวหนังได้เสียแล้ว จากชื่อเสียงที่เธอสั่งสมมาจาก Midsommar และ Little Women บวกกับได้รับบทนำใน Black Widow ด้วย ทั้งที่ Malevolent เป็นผลงานแสดงเรื่องแรก ๆ ของเธอเลย ก่อนที่เธอจะรับบทนำใน Fighting with My Family (2019) เสียด้วยซ้ำ ถ้าดูหนังเรื่องนี้ตอนปี 2018 ก็พูดได้ชัดเจนว่าไม่รู้จักใครในหนังเลยสักคน

สมาชิกทั้ง 4 ของแก๊งต้มตุ๋นหลอกไล่ผี

Malevolent พาเราย้อนเวลาไปในปี 1986 ที่สก็อตแลนด์ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ เธอรับบทเป็น แองเจลา เด็กสาวที่ร่วมขบวนการต้มตุ๋นกับ แจ็กสัน พี่ชายของเธอ และเพื่อนชายหญิงอีกคู่รวมเป็น 4 คน ตั้งตนเป็นขบวนการรับจ้างไล่ผีหลอกวิญญาณหลอนออกจากบ้าน เหตุที่มาของอาชีพก็เพราะ แม่ของแองเจลา และแจ็กสัน นั้นเป็นหญิงทรงเจ้าชื่อดังที่ฆ่าตัวตายไป แจ็กสันเลยใช้โอกาสนี้กอบโกยรายได้ แต่ว่าทั้งคู่ไม่ได้มีญาณวิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เลือกใช้วิธีการอัดเสียงผีหลอก ๆ ว่าแองเจลาสามารถพูดคุยกับผีในบ้านได้ มาหลอกตบตาลูกค้าแล้วเก็บค่าบริการแพง ๆ กิจการของแก๊งก็ดูจะไปได้ดี จนกระทั่งแองเจลาเริ่มจะมองเห็นวิญญาณเข้าจริง ๆ เธอเลยขอยุติกิจกรรมหลอกลวงนี้ แต่พี่ชายตัวดีดันติดหนี้นอกระบบที่กู้จากพวกมาเฟีย จึงขอร้องให้แองเจลารับงานใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งงานนี้ชาวแก๊งต้องไปปราบผีเด็กกำพร้าหลายตัวที่ยังวนเวียนหลอกหลอนเจ้าของสถานเลี้้ยงเด็กกำพร้า แต่ว่างานนี้ไม่ง่ายเหมือนที่ผ่านมา เพราะว่าพรสวรรค์จากแม่ที่ถ่ายทอดมาถึงตัวเธอเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วจริง ๆ ทำให้เธอค้นพบความลับเบื้องหลังการตายอย่างสยดสยองของเด็กกำพร้าเหล่านี้

ปกนิยายต้นฉบับที่มาของหนัง

ที่มาของหนังดูดีนะครับ ดัดแปลงมาจาก Hush นิยายขายดีผลงานประพันธ์ของ อีวา คอนสแทนโทพูลอส ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อปี 2011 แล้วที่น่าสนใจก็คือเธอรับหน้าที่ดัดแปลงนิยายของตัวเองมาเป็นบทภาพยนตร์ด้วย ซึ่งน่าจะถ่ายทอดสารที่เธอต้องการสื่อไว้ในเวอร์ชันนิยายมาได้ครบถ้วน แต่ไฉนหนอเวอร์ชันหนังมันถึงได้แห้งแล้งแล่าเรื่องแบบรวบรัดตัดความตามมาตรฐานหนังเกรดบีได้แบบนี้ รวมเครดิตท้ายเรื่องแล้ว Malevolent มีความยาวแค่ 89 นาทีเท่านั้นเอง เท่าที่อ่านเรื่องย่อของนิยายแล้ว แองเจลาน่าจะทุกข์ทนกับพรสวรรค์ในการได้ยินเสียงวิญญาณอย่างมาก และเข้าใจว่าทำไมแม่เธอถึงฆ่าตัวตาย แต่ในหนังกลับไม่ได้พูดถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย

ถ้าดูจากชื่อนิยายแล้วที่ตั้งชื่อไว้ว่า HUSH ที่แปลเป็นไทยก็เหมือนการส่งเสียง จุ๊ จุ๊ เตือนให้อีกฝ่ายเงียบเสียง หรือหยุดพูด ก็พอคาดได้ว่า อีวา คอนสแทนโทพูลอส ผู้ประพันธ์ได้สื่อเรื่องการเงียบเสียงนี่ผ่านหลาย ๆ จุดในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวแม่ที่เจอการรบกวนของเสียงภูติผีปีศาจรอบตัวจนทนไม่ได้ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย ส่งทอดมาถึงตัว แองเจลา ที่ได้รับพรสวรรค์ในด้านนี้สืบต่อมาจากแม่ และคุณนายกรีน เจ้าของบ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เจอเสียงผีเด็กรบกวนจนต้องตามแก๊งลวงโลกมาจัดการ และสุดท้ายวิธีการที่คนร้ายจัดการกับบรรดาเด็ก ๆ ด้วยการเย็บปากให้เงียบเสียง

แต่ในหนังนั้น ประเด็นที่ถูกลดทอนไปก็ในเรื่องการที่แองเจลาได้รับความสามารถพิเศษในการได้ยินเสียงผีที่สืบทอดมาจากแม่ และเธอเริ่มจะทุกข์ทรมานจากพรสวรรค์นี้ ซึ่งหนังก็เล่าแต่เพียงผิวเผินในช่วงกลางเรื่อง แล้วก็รีบเดินหน้าต่อไปถึงองก์สุดท้ายที่เป็นเหตุการณ์ในบ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้า เชื่อได้ว่าประเด็นสำคัญเหล่านี้ที่หายไปต้องเป็นฝีมือของ เบ็น คีไท ที่ผู้สร้างจากมาแก้ไขบทภาพยนตร์ที่เป็นฝีมือของ อีวา เอง เชื่อแน่ว่าผู้เขียนจะไม่ตัดประเด็นสำคัญจากนิยายตัวเองออกไปแน่ ทำให้ต้องมองย้อนไปถึงเครดิตของ เบ็น คีไท แล้วก็เห็นว่าเบ็นผ่านมาแต่งานเขียนบททีวีซีรีส์ และหนังสั้นล้วน ๆ ส่วนผลงานภาพยนตร์ 3 เรื่องก่อนหน้านี้ก็เป็นหนังเกรดบีล้วน ๆ จะมีที่เคยมาฉายในบ้านเราก็ The Strangers: Prey at Night (2018) แค่เรื่องเดียว

บ้านผีสิงที่เคยเป็นสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

ด้วยความที่หนังสั้นมาก ก็เลยเทน้ำหนักมาได้ที่แองเจลาเท่านั้น ส่วนอีก 3 คนในแก๊งรวมไปถึงแจ็กสัน ก็ให้คนดูได้รู้จักในฐานะสมาชิกแก๊งเท่านั้น หนังเปิดเรื่องมาที่บ้านผีสิง ที่ชาวแก๊งต้องไปไล่ผีแม่บ้าน ที่หลอกหลอนลูกและผัวจนอยู่ไม่เป็นสุข หนังให้เราเห็นถึงเกมการฉ้อฉลของชาวแก๊ง จากนั้นพาเราไปรู้จักอดีตของแม่ผู้มีพรสวรรค์ ผ่านการเล่าเรื่องของคุณตา แล้วพาเราเข้าสู่ภารกิจสุดท้ายที่บ้านเด็กกำพร้าเลยทันที ด้วยเหตุที่แองเจลาเพิ่งจะรับรู้ได้ว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเห็นและสื่อสารกับวิญญาณได้ ทำให้ครึ่งแรกของหนังจึงยังไม่มีอะไรให้ระทึกนัก แต่พอครึ่งหลังที่เธอเริ่มมองเห็นผีได้ชัดเจน ผู้กำกับก็เลยปล่อยผีเด็กแบบเพ่นพ่านเดินไปเดินมา เรียกว่าหมดกันไม่ใช่หนังผีที่จะต้องมาคาดหวังฉากน่ากลัว หรือได้ปิดตาลุ้นผีโผล่อีกต่อไป หนังเปลี่ยนโทนไปเป็นทริลเลอร์แนวฆาตกรรมเสียงั้น ซึ่งจะใช้คำว่า “สืบค้น” ก็พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำอีกเหมือนกัน เพราะอยู่ดี ๆ ฆาตกรก็เผยตัวเองออกมาซะงั้น ซึ่งร้อยทั้งร้อยก็เดาถูกอยู่ดีแหละว่าใคร ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใดเลย แล้วก็ไม่ได้โหดหรือน่ากลัวอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับดูโง่ซะมากกว่า

ผีเด็กกำพร้า ที่โผล่มาให้เห็นจะจะแบบนี้เลยล่ะ

สุดท้าย Malevolent ก็ไม่สามารถตอบสนองคอหนังได้สักทาง ไม่ว่าจะทางสยองขวัญที่มีตุ้งแช่โผล่มาแค่ 2-3 ครั้ง และทำเราสะดุ้งด้วยซาวนด์เอฟเฟกต์เสียงดังไม่ใช่เพราะภาพหรอก เพราะผีเด็กเรื่องนี้ก็โผล่มาเดินแบบจะ ๆ ชัด ๆ ให้เห็นกันแบบสว่าง ๆ ไปเลย ส่วนการพลิกผันของเรื่องราวจะเรียก “หักมุม” ก็ดูจะให้เกียรติเกินไปเพราะการเผยตัวตนของคนร้ายมันก็ไม่ได้ทำคนดูรู้สึก อึ้ง ทึ่ง ไปกับเนื้อหาของหนังเลย ฉากอี๋แหยะที่เป็นส่วนผสมหลัก ๆ ในหนังสยองขวัญก็ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวตามไปด้วย เพราะเห็นแต่หน้าของตัวละครที่กรีดร้องและบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ไมได้ให้คนดูได้เห็นกิจกรรมที่โดนกระทำอยู่ในขณะนั้น ส่วนดราม่าในเรื่องความสัมพันธ์ที่สอดแทรกตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด ทั้งสายใยแม่ลูกที่ส่งต่อความสามารถพิเศษ ความผูกพันของพี่ชายกับน้องสาว หรือเอ็ลเลียตเพื่อนชายที่มาเปิดใจกับแองเจลา น่าจะเยอะประเด็นเกินไปนั่นล่ะ แล้วเวลาก็สั้นเสียเหลือเกิน ทุกความสัมพันธ์มันก็เลยไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวขับอารมณ์ดราม่าได้สัมฤทธิ์ผล

ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในบทแองเจลา สาวผู้มีญาณพิเศษ

หนังจบแบบทิ้งท้ายไว้ให้สานต่อภาค 2 ได้อีก แต่สำหรับ ฟลอเรนซ์ พิวจ์ ในวันนี้ที่เธอได้สร้างเกียรติประวัติด้วยการเข้าชิงออสการ์สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ก็คงนึกภาวนาให้หนังเรื่องนี้หายไปจากจอหนังหรือสตรีมมิงเสียไว ๆ แต่ที่ไหนได้ประเทศไทยเพิ่งเข้าฉายเลยนะจ๊ะ