Release Date
27/11/2020
ความยาว
114 นาที
Our score
8.1The Call
จุดเด่น
- การแสดงของนักแสดงนำที่ฝีมือน่าจับตา โพรดักชันดีไซน์ที่ดี และที่สุดคือพล็อตที่พัฒนาจากต้นฉบับได้อย่างยอดเยี่ยม น่าติดตาม
จุดสังเกต
- มีช่องโหว่เรื่องเวลาในหนังแต่ก็ไม่กระทบความสนุกของหนัง หนังน่าจะโหดเลือดสาดได้มากกว่านี้ เพราะตัวละครจัดว่ามีการแสดงที่หลอนดีแล้ว ขาดแค่วิช่วลโหด ๆ เพิ่มบารมีตัวร้ายให้ขึ้นหิ้งเท่านั้น
-
บท
7.5
-
โพรดักชัน
8.0
-
การแสดง
8.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
8.5
-
คุ้มค่าการรับชม
8.0
เรื่องย่อ ซอยอน (พักชินฮเย) หญิงสาวผู้พบว่าโทรศัพท์ในบ้านของเธอสามารถโทรไปยังบ้านหลังนี้ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนได้ และทำให้เธอได้คุยกับลูกสาวเจ้าของบ้านคนก่อนหน้าอย่าง ยองซุก (จอนจงซอ) การพบพานของ 2 สาวทำให้เกิดการช่วยเหลือกันแก้ไขอดีต แต่สุดท้ายแล้วซอยอนก็จะได้พบว่ายองซุกอาจไม่ใช้หญิงสาวอ่อนแอน่าสงสารอย่างที่เธอเข้าใจ
เดิมหนังเรื่องนี้มีกำหนดฉายในเกาหลีในช่วงปีนี้หลังจากถ่ายทำเสร็จสิ้นไปตั้งแต่เมื่อปีก่อน ทว่าด้วยสถานการณ์โควิด-19 ในเกาหลีที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ในที่สุดชาวเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลกจึงโชคดีที่จะได้รับชมพร้อมกันแบบเวิลด์พรีเมียร์แทนไปเลย ทั้งนี้ที่ว่าเป็นความโชคดีโดยส่วนตัวแล้วนั่นก็เพราะว่า ตัวหนังมีข้อเด่นสำคัญถึง 3 ประการที่ทำให้ส่วนตัวผู้รีวิวนั้นอยากดูมากกกก
1 หนังเป็นการมารับแสดงหนังเรื่องที่ 2 ของดาราสาวหน้าใหม่อย่าง จอนจงซอ ที่ถ้าใครจำได้ เธอคือหญิงสาวอาร์ตตัวแม่ที่เป็นตัวแปรของทุกอย่างในหนังโชว์เมืองคานส์ของผู้กำกับชั้นครูอย่าง อีชางดง ในหนังดัดแปลงจากเรื่องสั้นของ ฮารูกิ มูราคามิ อย่าง Burning (2018) คือใครได้ดูเรื่องนั้นมาคงต้องติดตรึงใจกับการแสดงครั้งแรกของเธอ ที่สมจริงมีอินเนอร์และเสน่ห์อย่างประหลาด
และอาจเพราะดราม่าที่เธอทำท่าทีรังเกียจและหนีนักข่าวในปีเดียวกัน ทำให้ข่าวคราวของเธอแทบหายไปจากวงการเลย ทั้งที่เธอเป็นดาราหน้าใหม่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในวงการหนังคุณภาพเกาหลีในตอนนั้นทีเดียว การกลับมาในหนัง The Call จึงเป็นความสาแก่ใจส่วนหนึ่ง ยิ่งบทบาทของเธอเป็นสาวที่จิตผิดปกติ มีทั้งด้านอ่อนแอราวกับแก้วที่พร้อมแตกสลาย และด้านที่ขมุกขมัวราวกับควันไฟสีดำที่แผดเผาได้ทุกสิ่งอย่างยากเดาทิศทาง มันจึงเป็นบทบาทที่เปิดพื้นที่ปล่อยของให้เธอโชว์นาฏกรรมการแสดงได้มันสุดติ่ง และต้องบอกว่าใบหน้าหลอน ๆ ของเธอจะสะกดเราไปได้อีกนานเลย
2 บทร้ายที่น่ายำเกรงย่อมมาพร้อมกับตัวเอกที่น่าเอาใจช่วย ทว่าหนังแนวธริลเลอร์เขย่าขวัญหลาย ๆ เรื่องมักตายน้ำตื้นโดยการสร้างตัวละครนำที่ไม่น่าสนใจ ส่วนใหญ่ก็มักมาพร้อมความสติแตก อ่อนแอ ทำตัวโง่ ๆ จนเราไม่อยากเอาสายตาตัวเองลงไปแทนตัวละครในสถานการณ์นั้น ๆ เลย ทว่าสำหรับการแสดงของ พักชินฮเย ที่เราคุ้นหน้าจากซีรีส์ดังอย่าง Stairway to Heaven หรือ Memories of the Alhambra จนมาถึงหนังเน็ตฟลิกซ์เรื่องล่าสุดอย่าง #Alive ก็ตามที ต้องยอมรับว่าบทก็ส่วนหนึ่ง แต่การถ่ายทอดของเธอก็เสริมให้มิติเชิงลึกของบทนางเอกนั้นน่าติดตามมากขึ้น
เพราะ ซอยอน เป็นตัวละครที่มีทั้งแข็งและอ่อนในตัว เธอเข้มแข็ง ตอบโต้สถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีสติในแบบมนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่เชื่อได้ เธอไม่ใช่เหยื่อที่อาละวาดโวยวายและปล่อยบทบังเอิญเข้าช่วยเหลือให้จบแฮปปี้เอนดิ้ง ในขณะเดียวกันพักชินฮเยก็มอบด้านอ่อนแอให้เธอได้อย่างน่าสนใจ ด้วยภาษากายที่สะท้อนความบอบบางของตัวละครที่มักโอบกอดตัวเอง เดินอย่างไร้ความมั่นใจ และดวงตาที่สั่นไหวราวกับร้องไห้อยู่ภายในด้วยแผลในอดีตที่เราไม่เคยรับรู้ แต่กระนั้นก็มีดวงตาที่ทรงพลังพอให้เห็นว่าเธอพร้อมสู้เอาชีวิตเข้าแลกได้ยามเมื่อจวนตัว และเมื่อนุ่มนอกแข็งในเช่นนี้ จึงไม่แปลกเลยที่เธอจะเป็นตัวละครที่เราเอาใจช่วย และยืนเคียงข้างได้ตลอดเรื่องแบบยินดีมอบกายถวายใจ เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อกันมากทั้งตัวเอก-ตัวร้าย
3 แม้จะเป็นหนังยาวเรื่องแรกของผู้กำกับ อีชุงฮยอน แต่มันก็มีคุณภาพในแบบที่น่าจับตามมอง ด้วยเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากหนังประเทศอังกฤษเรื่อง The Caller (2011) ของ แมธธิว พาร์กฮิลล์ และบทของ เซอร์จิโอ แคสซี ที่มีจุดเด่นของพล็อตเรื่องของเวลา และการแก้ไขไทม์ไลน์ ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์แบบไซไฟ มาผสมกับหนังแนวธริลเลอร์จิตวิทยา เมื่อฆาตกรในอดีตมีชีวิตของตัวเอกในห้วงเวลานั้นเป็นตัวประกัน และบังคับควบคุมให้ตัวเอกในปัจจุบันทำตามมัน แน่นอนแค่นี้ก็โคตรมันแล้วเพราะ ตัวเอกในปัจจุบันแทบไม่มีอำนาจต่อรองอะไรเลย เพราะไปจับต้องอดีตไม่ได้ แล้วจะสู้กับฆาตกรอย่างไร นั่นล่ะไฮไลต์เลย
สำหรับ The Call (콜) เองก็เอาจุดเด่นตรงนี้มาเสริมความแข็งแรง ด้วยวิธีการด้านดรามาติกที่ทรงพลังตามแนวถนัดของเกาหลี ซึ่งปั้นเสริมเรื่องของตัวละครให้มีมิติรอบตัวน่าสนใจขึ้น การขู่เข็ญโดยเอาชีวิตคนรอบตัวนางเอกมาต่อรองเพื่อให้เห็นบันไดของการทรมานที่ไต่ระดับจนบีบอัดตัวละครถอยติดมุมจนต้องขดตัวลงกับซอกแบบลุ้นระทึก
และยิ่งต้องชมคุณภาพงานสร้างที่ไปไกลกว่าหนังต้นฉบับเอาหลายขุม เพราะโลเกชันหลักอย่างตัวบ้านที่นางเอกอยู่เพียงที่เดียวก็ต้องตกแต่งออกแบบกันถึง 3-4 เวอร์ชันทีเดียว เพราะมีการแก้ไขอดีตกันหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งต้องนำเสนอให้เห็นผลกระทบการเปลี่ยนแปลงผ่านฉากและพร็อพทั้งหลายด้วย เรียกว่าละเอียดกันทุกซอกมุม ยังไม่นับการนำซีจีมาช่วยนำเสนอการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ลงตัวดี ไม่ดูหลอกจนตลก ถ้าจะพิจารณาเทียบเคียงแล้วคงต้องยอมรับว่าวงการหนังเกาหลีไปไกลเทียบเคียงตะวันตกแล้วจริง ๆ
จุดติง อย่างว่าคงไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบไปได้ทั้งหมด หนังก็มีจุดติงอยู่บ้าง ยิ่งเมื่อจับเล่นกับเรื่องเวลาแล้วก็จะเห็นจุดโหว่น่าสงสัยอยู่นิดหน่อย เช่นว่าการคู่ขนานของเวลาในอดีตกับปัจจุบันนั้นทำงานแบบไม่เป็นไปตามกฏเดียวกันตลอดเรื่อง ยิ่งหนังมีการหักมุมกลับไปมาก็ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเป็นกรณีสมมติเช่นว่า ในอดีตนาย A ถูกแก้ไขว่าโดนฆ่าแทนที่จะมีชีวิตรอด นาย A ในอนาคตก็จะสลายหายไป ทว่าในเวลาต่อมาหักมุมว่าจริงแล้วนาย A ในอดีตรอดตายเพราะฆาตกรเข้าใจผิดว่าฆ่าไปแล้ว ในปัจจุบันนาย A จึงกลับมาอีกครั้ง ข้อสงสัยคือในเมื่อความเป็นจริงในอดีตนาย A ไม่เคยตายจริง ๆ แล้วปัจจุบันที่นาย A หายไปนั้นเกิดขึ้นได้ยังไง แน่นอนว่าหนังย่อมทำไปเพื่อหลอกล่อคนดู แต่มันก็เกิดความเพี้ยนของกฏเวลาที่ตัวหนังสร้างขึ้นมาเองเช่นกัน
อีกประการก็คงเป็นจุดที่น่าเสริมให้สมบูรณ์ขึ้น ในขณะที่ตัวนางเอกคุยสายไปมาแบบไม่เคยเอะใจอะไร แต่ในตอนที่ต้องใช้ประโยชน์จากความแม่นยำของความต่างเวลากลับสามารถวางแผนออกมาได้เหมาะเจาะเสียอย่างนั้น คือถ้าเป็นหนังญี่ปุ่นหรือฝรั่งที่คิดละเอียด ๆ เยอะ ๆ มันจะมีฉากที่เหลือข้อมูลให้ตัวเอกคำนวณได้ว่าเวลาของอดีตกับปัจจุบันต่างกันเท่าไหร่/หรือไม่ต่างกันเลยในหลักชั่วโมงหลักนาที เพราะจุดนี้ต้องถูกเอามาใช้เป็นไคลแม็กซ์สำคัญในช่วงท้าย ทว่าในหนังเกาหลีเรื่องนี้ข้ามอะไรแบบนี้ไปเลย และให้อนุมานเอาว่าเวลาที่ตัวละครโทรไปหรือรับสายคือเวลาที่พอดีกับที่ตัวละครต้องการ ทำให้ลดความสมจริงลงไปสักหน่อย
โดยสรุป นี่เป็นหนังเกาหลีที่คุณภาพดีเรื่องหนึ่ง มีรสดราม่า รสระทึกขวัญ มีการแสดงที่ลึกและเข้มข้น มีโปรดักชันที่มาตรฐานสูง และแน่นอนพัฒนามาจากพล็อตที่ดีมาก่อนแล้ว ดังนั้นแล้วใครชอบอะไรประมาณนี้ก็ไม่ควรพลาดเลย ส่วนใครหาหนังผลาญเวลานี่เป็นอีกเรื่องที่ดีพอควรเลยล่ะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส